รัฐบาลเดินหน้าประมูลท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3

กรุงเทพฯ  4 มิ.ย. – รัฐบาลประกาศประมูลท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 เสร็จรัฐบาลนี้ ถือเป็นท่าเรือเมกะโปรเจ็กต์ใน EEC ดันเศรษฐกิจไทยโต  และก้าวสู่ท่าเรือศูนย์กลางในอินโดจีน


นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Market Sounding) ครั้งที่ 2 โครงการศึกษาทบทวนความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และสิ่งแวดล้อม โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เพื่อรองรับการขนส่งตู้สินค้าผ่านทางรถไฟและเพิ่มระบบจัดการขนตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ (Automation) ในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP)เพื่อนำเสนอเกี่ยวกับรายละเอียดการพัฒนาโครงการ ความเสี่ยงของโครงการ และรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน รวมทั้งการจัดสรรหน้าที่และความรับผิดชอบสิทธิประโยชน์ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้น พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ร่วมสัมมนา โดยมีตัวแทนหน่วยงานจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร กลุ่มนักลงทุน สมาคมการค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมงานจำนวนมาก

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมควบคู่ไปกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ( EEC) โดยโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ถือเป็นหนึ่งในโครงการเสาหลักในพื้นที่ นอกจากเมกะโปรเจ็กต์ในพื้นที่ EEC ที่รัฐบาลจะเดินหน้าตามรวม 8 โครงการ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ประกาศ TOR ไปแล้ว โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานในภูมิภาค โครงการท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยวทางน้ำ (ครุยซ์) โครงการสมาร์ทซิตี้ โดยเฉพาะโครงการท่าเรือแหลมฉบัง และโครงการที่กล่าวไปแล้วยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าให้การประมูลประกวดราคาเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อให้ทุกโครงการเสร็จใน 4-5 ปีข้างหน้า โดยในอนาคตมั่นใจว่าท่าเรือแหลมฉบังจะเป็นกุญแจสำคัญ นอกจากจะเป็นประตูผ่านสินค้าเข้าออกไทยแล้วจะมีความสัมพันธ์กลายเป็นท่าเรือศูนย์กลางในภูมิภาคอินโดจีน เช่นเดียวกับท่าเรือรอดเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นท่าเรือที่กระจายสินค้าไปทั่วภูมิภาคยุโรป


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เป็น 1 ในโครงการที่รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนให้สำเร็จเป็นรูปธรรมในรูปแบบ PPP เพราะการขนส่งสินค้าทางน้ำมีต้นทุนต่ำที่สุด รองลงมา คือ ระบบรางและถนน โดยการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนครั้งนี้จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการไปสู่ความสำเร็จและลุล่วงตามวัตถุประสงค์ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ  โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนดการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน  3 ครั้ง เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางร่วมลงทุนที่เหมาะสมที่สุด โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ได้นำเสนอข้อมูล นโยบาย และแผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 และความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งพบว่านักลงทุนและผู้สนใจจากภาคเอกชน ร้อยละ 95 เชื่อว่าท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 มีความต้องการใช้ระบบจัดการขนตู้สินค้าแบบกึ่งอัตโนมัติเข้ามาดำเนินการในช่วงแรก นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนและผู้สนใจจากภาคเอกชนที่แสดงความสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุน ร้อยละ 92 และเห็นด้วยกับแผนแม่บทพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 ร้อยละ 93 ทั้งนี้ ร้อยละ 50 ของนักลงทุนและผู้สนใจจากภาคเอกชนให้ความสนใจที่จะร่วมลงทุนในท่าเรือสินค้า รองลงมา คือ ท่าเรืออเนกประสงค์ ร้อยละ 38 และท่าเรือขนส่งสินค้ายานยนต์ ร้อยละ 12

ส่วนครั้งนี้เป็นการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน ครั้งที่ 2 มีเป้าหมายเกี่ยวกับรายละเอียดการพัฒนาโครงการ รูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณการระหว่าง 95,000 – 105,000 ล้านบาท (เป็นมูลค่าประมาณการเท่านั้น) และนำเสนอการจัดสรรหน้าที่และความรับผิดชอบสิทธิประโยชน์ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้น

สำหรับโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือ เพื่อรองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยโครงการมีความได้เปรียบทั้งทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของการดำเนินงานที่เป็นศูนย์รวมและกระจายสินค้า ศูนย์แวะพักตู้สินค้า และภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่างประเทศระดับอนุภูมิภาคที่สามารถเอื้ออำนวยให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นประตูการค้าสู่กลุ่มประเทศ CLMV รวมทั้งจีนตอนใต้ จีนตะวันตก ญี่ปุ่นและอินเดียด้วย นอกจากนี้ โครงการยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการคมนาคมขนส่ง กระจายสินค้า ตลอดจนส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะเป็นการเสริมศักยภาพการขนส่งทางน้ำของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ โดยเมื่อก่อสร้างเสร็จจะช่วยเพิ่มความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าจาก 11.1 ล้านทีอียูต่อปี เป็น 18.1 ล้านทีอียูต่อปี เพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งรถยนต์จาก 2 ล้านค้นต่อปี เป็น 3 ล้านคันต่อปี เพิ่มสัดส่วนการขนส่งตู้สินค้าผ่านท่าโดยรถไฟทั้งหมดของท่าเรือแหลมฉบังจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 30 ลดต้นทุนค่าขนส่งรวมของประเทศจาก ร้อยละ14 ของจีดีพี เหลือร้อยละ 12 ของจีดีพี ประหยัดเงินค่าขนส่งได้ถึง 250,000 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เชียงใหม่อากาศแปรปรวน เจอลมหนาว-ฝนตก 3 วันติด

ชาวเชียงใหม่เจอลมหนาวและฝนตกต่อเนื่อง 3 วันติด อุตุฯ ย้ำอากาศแปรปรวน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ยังมีฝนตกและลมหนาว แนะรักษาสุขภาพ

ข่าวแนะนำ

ตรวจสุวรรณภูมิ

นายกฯ ตรวจความพร้อมสุวรรณภูมิ รับไฮซีซั่น

นายกฯ ตรวจความพร้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รับนักท่องเที่ยวไฮซีซั่น กำชับระบบอำนวยความสะดวกไม่ให้ล่าช้า กระทบแผนท่องเที่ยว

Trump in Arizona campaign rally Oct24,2024

“ทรัมป์” กวาดหมดทั้ง 7 รัฐสมรภูมิ

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กวาดชัยชนะในทั้ง 7 รัฐสมรภูมิ หรือสวิงสเตท เมื่อผลการนับคะแนนในรัฐแอริโซนา ซึ่งเป็นรัฐสุดท้าย