“ปานเทพ” เปิดหลักฐานสัญญาชัด 71 ล้านเป็นชื่อ “มาดามอ้อย”

กรุงเทพฯ 13 พ.ย. – “อ.ปานเทพ” เปิดหลักฐานหนังสือสัญญาบอกชัด 71 ล้านบาท เป็นชื่อ “มาดามอ้อย” เปิด 3 รายชื่อให้เร่งตรวจสอบ หวั่นโยกย้ายทรัพย์สิน


นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน จำนวน 71 ล้านบาท ที่นางจตุพร หรือ มาดามอ้อย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องว่า สัญญานี้เป็นการพิสูจน์ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะสัญญาฉบับนี้สอดรับหลังแชทไลน์คุยจบ เป็นการพูดคุยระหว่างพี่น้อย ซึ่งเป็นเลขาฯ กับทนายตั้ม โดยทนายตั้มพยายามพิมพ์ข้อความว่า “ขอพี่อ้อยแล้ว เป็นการลงทุน“ เพื่อให้มีหลักฐาน แต่ไม่ได้คุยหรือเป็นที่ยุติกับพี่อ้อยเลย โดยเป็นการพิมพ์ข้อความเพียงฝ่ายเดียว ส่วนพี่น้อยแค่รับรู้ แต่นำแชทข้อความเหล่านี้มาเป็นหลักฐาน โดยได้พูดคุยกันระหว่างวันที่ 28-30 ม.ค.66

นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นพี่อ้อยได้บินจากฝรั่งเศสมาที่ประเทศไทย ในวันที่ 2-8 ก.พ.66 พี่อ้อยมาทำอะไร ไม่ได้มาโอนให้ด้วยความเสน่หา หรือทำสัญญาอะไร ขณะนั้นทนายตั้มเป็นเพียงที่ปรึกษากฎหมายของพี่อ้อยมีหน้าที่จัดการเรื่องกฎหมายให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นเงินกู้จะต้องทำสัญญาเงินกู้ หากเป็นเงินยืมเพื่อการลงทุนจะต้องเป็นสัญญาเงินกู้กับพี่อ้อย และถ้าจะลงทุนในแอปพลิเคชั่น เขาจะต้องเป็นคู่สัญญากับแอปพลิเคชั่น หากเป็นในลักษณะนี้จะเข้าข่ายการไปกู้ยืมมาแล้วไปลงทุน ถ้าหากเป็นฝ่ายเดียวจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียว แต่ปรากฏหลักฐานครั้งนี้ไม่เป็นอย่างนั้น กลายเป็นหลักฐานที่พบว่าสัญญาที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับทนายตั้มเลย แต่เป็นสัญญาการจ้างทำแอปพลิเคชั่นระหว่างพี่อ้อยและบริษัทที่ผลิตแอปพลิเคชั่นนาคี จึงชัดเจนว่าเงินและทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของพี่อ้อย


จากนั้นหลังวันที่ 8 ก.พ.66 พี่อ้อยได้เดินทางกลับฝรั่งเศส เพื่อจัดการเตรียมโอนเงินโดยการขายหลักทรัพย์และสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อจะได้เงินมาและเขียนในใบโอนเงินว่าเพื่อการลงทุน โดยไม่ต้องนำสัญญาในประเทศไปแนบ เป็นการแสดงเจตนาว่าพี่อ้อยต้องการจะลงทุนจริง ๆ และไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีตรงของตัวเอง จ่ายเฉพาะค่าธรรมเนียมเพียงอย่างเดียว เมื่อมาถึงทนายตั้มก็บอกให้โอนเงินผ่านทนายตั้ม เนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการ เพราะทนายตั้มไม่ยอมให้ 2 ฝ่าย มาเจอกัน พี่อ้อยหลงเชื่อจึงโอนเข้าบัญชีทนายตั้ม เพราะเห็นว่ามีหลักฐานเป็นสัญญาที่ได้มีการเซ็นเอาไว้ โดยร่างสัญญาที่สำนักงานของทนายตั้ม ฉะนั้นจึงไม่ใช่การให้โดยเสน่หา ไม่ใช่การกู้ยืมเงินเพื่อลงทุน และไม่ใช่การร่วมลงทุนเพราะเงินทั้งหมดเป็นของพี่อ้อย สัญญาและทรัพย์สินก็เป็นของพี่อ้อย ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย ดังนั้นการเอาทรัพย์ไปจะเป็นการให้โดยเสน่หาไม่ได้ จะเป็นการกู้ยืมเงินก็ไม่ได้เพราะหลักฐานที่มีอยู่ไม่สอดรับกัน ทนายตั้มเป็นที่ปรึกษากฎหมาย พี่อ้อยวางใจและไว้ใจในชื่อเสียงของทนายตั้ม จึงหลงเชื่อตัดสินใจโอนเงินให้

เมื่อถามว่าพี่อ้อยได้ไปบ้านของทนายตั้ม ไม่สงสัยเรื่องเงินบ้างหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ไม่แปลกเพราะเขาหลงเชื่อว่าทนายตั้ม ทำมาหากินสุจริต ก็มีสิทธิที่จะมีบ้านได้ เพราะเป็นบ้านที่ทนายตั้มได้สินเชื่อบ้านไว้แล้วครบวงเงินทั้งหมด แต่ปรากฏว่าเงินที่อ้างว่าจะไปทำสลากที่มีการพูดคุยกันในที่สุดแล้วไม่ได้ลงทุนกับสลาก เพราะมีการไปยกเลิกการลงทุนกับบริษัทคู่สัญญาที่ทำแอปพลิเคชั่น หลังจากนั้น 1 เดือน ก็ได้ถอนเงินไปซื้อบ้านตัวเอง เงินสินเชื่อที่วางไว้กับธนาคารก็ไปยกเลิก แปลว่า ไม่ได้คิดจะลงทุนสลากออนไลน์เป็นการหลอกทั้งหมด

นายปานเทพ กล่าวว่า ส่วนภรรยาของทนายตั้มเป็นหนึ่งในคณะทำงานที่รับรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน และรู้เรื่องทั้งหมดแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เชื่อว่ามีหลักฐาน ส่วนพี่สาวภรรยาของทนายตั้มอาจจะรู้ข้อมูลน้อยกว่า เพราะจากการดูความสัมพันธ์เหมือนกับเป็นแม่บ้านที่คอยดูแลความเรียบร้อยภายในครอบครัว ส่วนการรับรู้ภรรยาของทนายตั้มมีมากกว่าพี่สาวของทนายตั้ม ส่วนผู้ชายแบรนด์เนม คือผู้ชายแบรนด์เนมคนหนึ่งที่สามารถไปขู่พยานได้ เช่น รู้ว่าลูกเรียนอยู่ที่ไหน โรงเรียนอะไร ผิดวิสัยที่จะนำมาพูดในระหว่างที่มีเรื่องพิพาทกันของคดี หรือพูดว่าหากไม่อยู่ข้างเขาแล้วจะไม่เอาไว้นะ แม้จะไม่ผิดกฎหมายแต่ทำให้พยานรายสำคัญคนนี้หวาดกลัวได้ ส่วนผู้ชายแบรนด์เนมคนนี้เคยขู่พี่อ้อยหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่ทราบว่าทนายตั้มเคยมีความพยายามจะฟ้องพี่อ้อยก่อนจะยุติไป


นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ในขณะที่พยานปากสำคัญได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้หมดเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ทนายตั้มกลับทำลายหลักฐานทั้งหมดทั้งโทรศัพท์ ที่มาที่ไปของโทรศัพท์ พฤติการณ์แบบนี้ต่างกันหรือไม่ถึงความโปร่งใส หรือความบริสุทธิ์ของตัวเอง เขาเคยข่มขู่หรือไม่ เขาเคยคุยกับทนายว่า “กล้าดีอย่างไรมาฟ้องเขา” พี่อ้อยก็ได้ยินเพราะมีเทปอัดไว้

ส่วนประเด็นเงิน 39 ล้านบาท นายปานเทพ กล่าวว่า ทางนุและสาลินี เป็นจำเลยอยู่ในขณะนี้ จะไปถึงทนายตั้มหรือไม่ ยังไม่เฉลยในตอนนี้เพราะจะกระทบต่อรูปคดี นอกจากคำพาดพิงแล้ว เพราะคำพาดพิงอาจจะเชื่อถือไม่ได้หากไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง และหากหนักใจทางพี่อ้อยคงไม่แจ้งความ เพราะคิดว่ามีหลักฐานมากพอ ประเด็นของเงิน 39 ล้านบาท มี 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นโทรศัพท์ตรวจสอบแล้วพบว่าโทรศัพท์ไม่ได้มีการระงับจริง ส่วนที่ 2 สาลินีอ้างว่าตัวเองถูกระงับบัญชี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในระบบคริปโตฯ และสาลิณีดำเนินการโดยอ้างว่าตัวเองเสียหายแต่ไม่แจ้งยอดเสียหายแล้วไปแจ้งความที่ สน.บางซื่อ รูปแบบเป็นการแจ้งความเพื่อให้พี่อ้อยหลงเชื่อ

ส่วนนุอ้างว่ารู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อแทนไท นุใช้ทะเบียนรถ 999 ทนายตั้มก็เพิ่งมาเปลี่ยนทะเบียนรถเป็น 999 เช่นกัน สอดรับกับใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ที่ไปประมูลทะเบียนรถเลขสวยเลขเก้า ให้ดูความสัมพันธ์ว่าบุคคลเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษอย่างไร จะเห็นความจริงในเครือข่ายว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เมื่อนุและสาลินีรับเงิน 39 ล้านบาทแล้วเส้นเงินไปถึงใครบ้างจำนวนเท่าไหร่ เชื่อว่าไม่เกินกำลังของตำรวจและ ปปง. ในการตรวจสอบ

นายปานเทพ กล่าวว่า ส่วนเรื่องซื้อรถยนต์ ทราบจากรายงานข่าวของตำรวจพบว่าซื้อราคาหนึ่ง แต่ออกใบเสร็จ 2 ใบ ๆ แรก 12.9 ล้านบาท เป็นใบเสร็จที่ไปถึงมือพี่อ้อย แต่ใบเสร็จที่รับเงินจริงๆ จำนวน 11.4 ล้านบาท ทั้งนี้ ใบเสร็จต้องมีเพียงใบเดียว แสดงว่าอีกอันก็ต้องเป็นใบปลอม หากเป็นเงินค่านายหน้าจริง รับเงินเท่าไหร่ในบริษัทนั้นจะต้องหักเป็นค่าการตลาดและหักภาษีส่งสรรพากร หากไม่มีธุรกรรมนี้ไม่เรียกว่าเป็นค่านายหน้า เป็นการบวกเงินเพิ่ม ส่วนประเด็นอื่นๆ นอกเหนือจากประเด็นเงิน 71 ล้านบาท เป็นเพราะการตรวจสอบของสื่อมวลชน ที่มีการตรวจสอบในหลายมิติ เช่น การซื้อรถพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่อ้อยว่าต้องการจะดำเนินการด้วยหรือไม่ เพราะคดีที่แจ้งความไปก่อนหน้านี้ก็สอบกันนานหลายชั่วโมงติดต่อกันหลายวัน

นายปานเทพ กล่าวว่า ทั้งนี้ห่วงเรื่องการโยกย้ายทรัพย์สินว่าจะตามทันหรือไม่ จึงขอให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม กับ 1.พี่สาวของภรรยาทนายตั้ม 2.แจ็คที่ทำการค้าขายนาฬิกาหรู 3.โอ๋ อยู่ จ.เชียงใหม่ หรือเชียงราย เป็นคนที่ขายแบรนด์เนมหรู.- 419- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชนแล้วหนี! 2 หนุ่มกลัวถูกจับดึงสลักระเบิดดับ

2 หนุ่มชนแล้วหนี โบกรถมาขึ้นสามล้อเครื่อง ตำรวจตามกระชั้นชิด ตัดสินใจดึงสลักระเบิด แต่สะดุดล้มระเบิดตูมสนั่นดับ 1 ส่วนอีกคน ถูกจับโดยละม่อม

“ไบเดน” เปิดทำเนียบขาวต้อนรับ “ทรัมป์” ถกถ่ายโอนอำนาจ

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐเปิดห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวหารือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดี ซึ่งต่างให้คำมั่นการถ่ายโอนอำนาจจะเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

“อี้ แทนคุณ” เผยคดีใหม่ “ฟิล์ม” ชวนลงทุนคล้าย forex เสียหายกว่า 60 ล้าน

“อี้ แทนคุณ” เผยคดีใหม่ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ชักชวนลงทุนในดูไบ คล้าย forex ความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท ขณะที่อีกฝ่ายอ้างนำเงินไปลงทุนจริงแต่ขาดทุน

ข่าวแนะนำ

เขากระโดง

“อนุทิน” ยันเพื่อไทย-ภูมิใจไทย ไม่เคยขัดแย้งปมเขากระโดง

“อนุทิน” ย้ำพรรคร่วมรัฐบาลมีเป้าหมายเหมือนกัน ทำประโยชน์ให้ประชาชน-ประเทศ หลัง “ทักษิณ” ชมพรรคร่วมสามัคคีกันดี ยันเพื่อไทย-ภูมิใจไทย ไม่เคยขัดแย้งปมเขากระโดง ขอคนไม่อยู่ในวงอย่าคาดคะเน ชี้ไม่มีเหตุผลต้องปกป้องผลประโยชน์ใคร โอดกว่าจะนั่งคุม มท. แทบตาย ไม่ให้ใครมาด่าสาดเสียเทเสีย

สนามบินสุวรรณภูมิ

ยูเนสโกยกย่อง “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” 1 ใน 6 สนามบินสวยสุดในโลก

“สุริยะ” รมว.คมนาคม ปลื้ม ยูเนสโก ยกย่อง “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2567 ด้าน “อาคาร SAT-1” สุดปัง! หลังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสนามบินที่มีสถาปัตยกรรมสวยที่สุดของโลก โชว์ความโดดเด่นด้านความงาม-ความคิดสร้างสรรค์ ชูอัตลักษณ์ความเป็นไทย จ่อประกาศผล 2 ธ.ค.นี้

รฟท.คัดค้านคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินทับซ้อนเขากระโดง

การรถไฟฯ ลุยยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมที่ดิน คัดค้านคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ดินทับซ้อนเขากระโดง ย้ำปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โปร่งใสและเป็นธรรม