กรุงเทพฯ 31 ธ.ค.-สธ.เตือนเที่ยวป่า ภูเขา ระวังตัวไรอ่อนกัดเสี่ยงป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่ ปีนี้พบป่วยแล้วกว่า 6,668 ราย เสียชีวิต 2 ราย หากกลับจากป่า 2 สัปดาห์มีไข้สูง มีแผลคล้ายรอยบุหรี่จี้ ให้รีบพบแพทย์ทันที
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงฤดูหนาวประชาชนที่นิยมไปเที่ยวป่า และภูเขา ขอให้ระวังถูกตัวไรอ่อนกัด เพราะอาจเสี่ยงติดโรคไข้รากสาดใหญ่ หรือโรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) บริเวณที่ชอบโดนกัด คือ ในร่มผ้า เช่น ลำตัว เอว รักแร้ ขาหนีบ หลังถูกกัดประมาณ 10-12 วัน จะมีไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อออก ปวดศีรษะมากโดยเฉพาะขมับและหน้าผาก คลื่นไส้ อาเจียน หูอื้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย ตัว ตาแดง ผิวหนังผู้ป่วยที่ถูกไรอ่อนกัดจะพบแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้ ลักษณะเป็นรอยบุ๋มสีดำ เป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ บางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ทำให้เสียชีวิตได้
ในการป้องกันไม่ให้ไรอ่อนกัด ผู้ที่จะไปเดินเที่ยวและพักค้างแรมในป่า ควรใช้ยาทากันแมลงกัด ที่แขน ขา ใส่เสื้อแขนยาวปิดคอ เลือกที่ตั้งเต็นท์บริเวณโล่งเตียน หลีกเลี่ยง นอนบริเวณพุ่มไม้ ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง เมื่อกลับมาถึงที่พัก รีบอาบน้ำฟอกตัวด้วยสบู่ให้สะอาดทันทีหลัง หากภายใน 2 สัปดาห์หลังออกจากป่ามีอาการป่วยตามอาการข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการเข้าไปในป่าเพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง โดยแพทย์จะรักษาด้วยการให้รับประทานยาปฏิชีวนะ
จากข้อมูลการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคสครับไทฟัส โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ 1 มกราคม 2559–20 ธันวาคม 2559 ทั่วประเทศ มีรายงานผู้ป่วย 6,668 ราย เสียชีวิต 2 ราย ภาคเหนือมีผู้ป่วยมากที่สุด 4,172 ราย รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,499 ราย โรคนี้สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดปี มักพบในกลุ่มชาวสวน ชาวไร่ นักล่าสัตว์ นักท่องป่า ทหาร และผู้ที่ออกไปตั้งค่ายในป่า จะพบมากในช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว โดยตัวไรแก่จะชอบอาศัยอยู่บนหญ้าและวางไข่บนพื้นดิน เมื่อฟักเป็นตัวอ่อน ไรอ่อนจะกระโดดเกาะสัตว์ เช่น หนู กระแต กระจ้อน หรือคนที่เดินผ่านไปมา เพื่อดูดน้ำเหลืองเป็นอาหาร หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422. – สำนักข่าวไทย