ข่าวดีผู้ใช้บี 10 พรุ่งนี้ราคาลดลง 50 สตางค์ จากนโยบายรัฐหนุนใช้ปาล์ม

กรุงเทพฯ 28 ก.พ. – ข่าวดีผู้ใช้บี 10 พรุ่งนี้ราคาลดลง 50 สตางค์ ส่วนบี 7 ปรับขึ้น 50 สตางค์  บี 20 ราคาไม่เปลี่ยนแปลง หลัง กบน.เคาะปรับเปลี่ยนเงินกองทุนน้ำมันฯ หนุนใช้ปาล์มผ่านบี 10 ส่งผลกองทุนน้ำมันอุดหนุนเพิ่มขึ้นเท่าตัว ติดลบเกือบ 800 ล้านบาท/เดือน  


นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เห็นชอบการปรับเปลี่ยนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าการตลาดกลุ่มดีเซล เพื่อสนับสนุนนโยบายการใช้ไบโอดีเซลบี 10 ส่งผลให้ราคาน้ำมันกลุ่มดีเซลวันพรุ่งนี้ (28 ก.พ.) บี 7 จะปรับเพิ่มขึ้น 50 สตางค์/ลิตร  บี 10 ลดลง 50 สตางค์/ลิตร และบี 20 ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ตั้งเป้าหมายให้เกิดการใช้บี 10 เพิ่มขึ้น คาดเดือนมีนาคมจะเพิ่มเป็น 20 ล้านลิตร และสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 57 ล้านลิตรต่อเดือน อย่างไรก็ตาม การปรับเงินกองทุนอุดหนุนบี 10 เพิ่มขึ้น ทำให้เงินกองทุนฯ บัญชีน้ำมันมีการอุดหนุนหรือติดลบเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากอุดหนุน 413 ล้านบาท/เดือน เป็น 819 ล้านบาท/เดือน  แต่เมื่อรวมกับบัญชีก๊าซหุงต้มที่มีเงินไหลเข้าแล้ว 32 ล้านบาทแล้ว เงินกองทุนน้ำมันฯ จะมีเงินไหลออก เพิ่มขึ้น จาก 381 ล้านบาท เป็น 787 ล้านบาท/เดือน ซึ่งจากสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่มีฐานะสุทธิ 36,005 ล้านบาท ทาง กบน.ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถบริหารจัดการได้เพื่อให้นโยบายบี 10 เดินหน้าตามแผน

สำหรับมติการปรับเปลี่ยนเงินกองทุนน้ำมันฯ มีผลวันที่ 28 กุมภาพันธ์  จะจัดเก็บเงินกองทุนฯ สำหรับบี 7 เพิ่ม 75 สตางค์/ลิตร อัตราใหม่เก็บที่ 1 บาท/ลิตร  บี 10 และบี 20 ลดการจัดลง 50 สตางค์/ลิตร มีผลทำให้กองทุนอุดหนุนบี 10 อัตรา 2.50 บาท/ลิตร, อุดหนุนบี 20 อัตรา 4.41 บาท/ลิตร, ค่าการตลาดบี 7 อัตรา 1.7329 บาท/ลิตร, บี 10 อัตรา 2.0154 บาท/ลิตร และบี 20 อัตรา 1.3395 บาท/ลิตร ภาพรวมทำให้บี 20ถูกกว่าบี 7 เพิ่มขึ้นจากอัตรา 3.00 บาท เป็น 3.50 บาท/ลิตร และบี 10 ถูกกว่าบี 7 เพิ่มจาก 2 บาท เป็น 3 บาท/ลิตร และบี 7 ถูกกว่า บี 20 ลดลงจาก 1 บาท เป็น 50 สตางค์/ลิตร  


 ประกอบกับปั๊มน้ำมันกว่า 6,000 แห่ง จะขายบี 10 ในเดือนมีนาคมนี้จากขณะนี้บี 10 มีปั๊มขาย 3,100 แห่ง ซึ่งกระทรวงพลังงานคาดหวังสิ้นปีบี 7 จะมียอดใช้ลดลงเหลือไม่มากนัก เพราะจะใช้กับรถหรูจากยุโรปเท่านั้น จากยอดขายปัจจุบันกว่า 50 ล้านลิตร/วัตร และยอดใช้บี 10 จะเพิ่มขึ้นเป็น 57 ล้านลิตร/วัน ส่วนบี 20 จะทรงตัวอยู่ที่ 6-7 ล้านลิตร/วัน ซึ่งจะช่วยดูดซับปาล์มน้ำมันดิบ (ซีพีโอ) ได้ตามแผน 2 ใน 3 ของกำลังผลิตของประเทศที่ประมาณ 3 ล้านตัน/ปี และยังช่วยลด ฝุ่น PM 2.5 ได้เพิ่มอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

“เหนือ-อีสาน-กลาง” อากาศเย็น ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ รายงานภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง