สธ.เพิ่มสิทธิประโยชน์ฯ ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์-ฝังแร่-รักษาด้วยรังสีโปรตรอน

สธ. 26 ธ.ค. – “หมอชลน่าน” มอบของขวัญปีใหม่ให้ผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์-ฝังแร่ และรักษาด้วยรังสีโปรตรอน


“หมอชลน่าน” รมว.สาธารณสุข มอบสิทธิประโยชน์ภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นของขวัญปีใหม่ ให้คนไทย ภายใต้นโยบาย “มะเร็งครบวงจร” ครอบคลุมการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ – ฝังแร่ – รักษาด้วยรังสีโปรตรอน พร้อมบริการให้คำปรึกษาทางสุขภาพแก่คนไทยในต่างประเทศทั่วโลกผ่านระบบ Telemedicine

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา มีมติเพิ่มสิทธิประโยชน์ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนเพิ่มเติม นอกเหนือจากการรักษาด้วยรังสีโปรตอน ซึ่งเป็นบริการสาธารณสุขที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสุดและมีความแม่นยำสูงมาก ใช้รักษาผู้ป่วยเด็กที่เป็นมะเร็งสมอง ข้อดีคือ รังสีจะทำลายก้อนมะเร็งแต่จะไม่ทำอันตรายกับเนื้อเยื่อปกติที่อยู่รอบก้อนมะเร็ง


นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า สำหรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ที่จะมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนในปี 2567 ได้แก่ การรักษามะเร็งด้วยการฝังแร่เฉพาะที่เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในตา (Plaque brachytherapy) และการรักษามะเร็งโดยการใช้หุ่นยนต์ในการผ่าตัด (Robotic Surgery) ในโรคมะเร็ง 3 รายการ คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งตับ ตับอ่อน และท่อน้ำดี ซึ่งทั้งหมดนี้เดิมไม่สามารถเบิกจ่ายได้จากสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

“สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มเติมนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาสนับสนุนนโยบายมะเร็งครบวงจรของกระทรวงสาธารณสุข และเป็นการหนุนเสริมให้เห็นภาพที่ชัดเจนของโครงการยกระดับ 30 บาท ของรัฐบาล นอกเหนือจากโครงการบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ที่จะมีการเปิดตัวนำร่อง 4 จังหวัดในวันที่ 8 มกราคมนี้” นพ.ชลน่าน กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า นอกจากสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็งใน 3 เรื่องหลักๆ ดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังเพิ่มบริการให้คำปรึกษาทางสุขภาพแก่คนไทยในต่างประเทศทั่วโลกผ่านระบบ Telemedicine โดยจะเป็นการให้คำแนะนำ คำปรึกษาและคัดกรองอาการป่วยเบื้องต้น โดยแพทย์คนไทย ที่นอกจากจะเป็นการให้การดูแลทุกคนที่เป็นคนไทยแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำว่า คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพภายใต้สิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลจัดให้ได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงอย่างแท้จริง. -411-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

“เหนือ-อีสาน-กลาง” อากาศเย็น ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ รายงานภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง