กรุงเทพฯ 20 พ.ย. – ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ต.ค.ที่ 91.2 จาก 92.1 ในก.ย. ต่ำสุดรอบ 17 เดือน กำลังซื้อชะลอ-สงครามการค้าฉุด
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนต.ค.2562 อยู่ที่ระดับ 91.2 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 92.1 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 17 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2561 เนื่องจากผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลกำลังซื้อในส่วนภูมิภาคที่ยังชะลอตัว และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ประสบปัญหาด้านการเงิน หลังจากสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น รวมทั้งสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐยังคงยืดเยื้อ และการแข็งค่าของเงินบาที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลง
โดยในวันที่ 27 พ.ย.นี้ ภาคเอกชนมีกำหนดการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประชุมเชิงปฏิบัติการกับกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากมาตรการที่ธปท.ใช้ดูแลค่าเงินบาทอยู่ในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอเท่าที่ควร
“เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ธปท.ทำใช้ไม่ได้ เพราะอยู่ในอำนาจของธปท.ทำได้อยู่แล้ว แต่เอกชนอยากบอกว่าสิ่งที่เราอยากได้อาจนอกเหนือเกินขอบเขตของธปท. เช่น การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายที่ควรพิจารณาตามความเหมาะสมของสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆภายในประเทศ รวมถึงมาตรการเปิดเสรีให้นำส่งเงินออกนอกประเทศที่ธปท.ดำเนินการอยู่ คนยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้คนรับรู้และเข้าใจมากขึ้น และอื่นๆ ที่ต้องทำเวิร์คชอปว่าจะทำอย่างไร เชื่อว่าจะช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ในระดับหนึ่ง“
สำหรับดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 102.9 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 103.4 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน ปัญหาเบร็กซิส รวมทั้งการที่ไทยถูกสหรัฐตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ทำให้สินค้าส่งออกของไทยราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
นายสุพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคเอกชนมีความเห็นเสนอให้ภาครัฐควรให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ธปท. ประกาศเรื่องปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อเอื้อให้เงินทุนไหลออกและลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท เร่งการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-อียู เร่งการลงทุนภาครัฐเพื่อให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องของภาคเอกชน ส่งผลต่อห่วงโซ่มูลค่าของเอสเอ็มอี ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเลยภาคการส่งออกที่ชะลอตัวจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลก และเร่งการเจรจาขอคืนสิทธิจีเอสพีกับสหรัฐ
นอกจากนี้ ต้องการให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันเป็นหน่วยงานหลักในการหาแนวทางดูแลเศรษฐกิจฐานราก เพราะที่ผ่านมายังไม่มีแผนออกมาชัดเจน รวมทั้งอยากให้รัฐบาลตั้งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจขึ้นมาใหัชัดเจน เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพราะขณะนี้การดำเนินงานทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีภารกิจจำนวนมาก อาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเกิดความล่าช้า . – สำนักข่าวไทย