ชัวร์ก่อนแชร์: Harvard เผยชุมชนที่ฉีดวัคซีนมาก โควิดยิ่งระบาดหนัก จริงหรือ?

01 กุมภาพันธ์ 2565
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย: Politifact (สหรัฐอเมริกา)
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: พีรพล อนุตรโสตถิ์, อดิศร สุขสมอรรถ

ประเภทข่าวปลอม: ทำให้เข้าใจผิด

บทสรุป:

เป็นการบิดเบือนงานวิจัย แม้ผู้วิจัยพบการติดเชื้อโควิด 19 อย่างมากในชุมชนที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง แต่ไม่ใช่เพราะวัคซีนไม่มีประโยชน์
ผู้วิจัยแนะนำว่านอกจากวัคซีนแล้ว ควรให้ความสำคัญกับนโยบายด้านเภสัชวิทยาอื่นๆ และมาตรการรับมือโดยไม่ใช้ยา

ข้อมูลที่ถูกแชร์:

มีข้อมูลบิดเบือนเผยแพร่ทาง YouTube ในสหรัฐอเมริกา โดยอ้างผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย Harvard University ที่พบว่าในชุมชนที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง กลับเป็นพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 อย่างมาก แสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนไม่ช่วยให้การแพร่ระบาดลดลง

FACT CHECK: ตรวจสอบข้อเท็จจริง:

ข้ออ้างดังกล่าวนำมาจากงานวิจัยของ เอส.วี.สุบรามาเนียน ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพประชากรและภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัย Harvard University ซึ่งงานวิจัยผ่านการพิชญพิจารณ์ (Peer Review) หรือการประเมินความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการแล้ว และตีพิมพ์ใน Epidemiology วารสารการแพทย์ของยุโรปเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2021 ที่ผ่านมา

ในบทนำของงานวิจัยกล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอิสราเอล โดยจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสัดส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบโดสในกลุ่มประชากรและรายงานการติดเชื้อโควิด 19 เฉลี่ยต่อวันในรอบสัปดาห์ โดยเป็นการเก็บข้อมูลจาก 68 ประเทศและ 2,947 เคาตี้ในสหรัฐฯ ช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน

ผลการศึกษาพบว่า ประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบโดสสูง กลับมีอัตราการติดเชื้อโควิด 19 ต่อประชากร 1 ล้านคนสูงมากด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังพบว่า ใน 5 เคาตี้ของสหรัฐฯ ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบโดสสูงที่สุด ก็เป็นชุมชนที่มีอัตราการติดเชื้อโควิด 19 สูงที่สุดอีกด้วย โดย แชตตาฮูชีในรัฐจอร์เจีย, แม็คคินลีย์ในรัฐนิว เม็กซิโก และอเรซิโบในปอร์โตริโก คือ 3 เคาตี้ในสหรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบโดสมากที่สุดหรือกว่า 90% แต่ก็ยังเป็น 3 เคาตี้ที่หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่าเป็นชุมชนที่มีอัตราการติดเชื้อโควิด 19 สูงที่สุดในประเทศ

อย่างไรก็ดี งานวิจัยไม่มีจุดประสงค์ที่จะด้อยค่าวัคซีนโควิด 19 แต่เสนอแนะว่าควรมีมาตรการเสริมในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด 19

บทสรุปของงานวิจัยให้ข้อเสนอแนะว่า ความคิดที่ว่าวัคซีนโควิด 19 คือความหวังสูงสุดหนึ่งเดียวที่จะยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ควรได้รับการทบทวนใหม่ โดยเฉพาะการอุบัติของไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างไวรัสเดลต้าและสายพันธุ์อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต นโยบายด้านเภสัชวิทยาอื่นๆ และมาตรการรับมือโดยไม่ใช้ยา จำเป็นต้องนำมาใช้ควบคู่กับการเร่งอัตราการฉีดวัคซีน

ซึ่งการรณรงค์ให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนควรทำด้วยความเคารพและเข้าอกเข้าใจ การบังคับและโจมตีมีแต่จะนำมาซึ่งผลเสียมากกว่าประโยชน์ นอกจากนี้มาตรการรับมือโดยไม่ใช้ยา ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม, การล้างมือ จนถึงสนับสนุนการผลิตชุดตรวจที่ราคาถูกและสามารถใช้ตรวจหาเชื้อได้อย่างสม่ำเสมอ คือปัจจัยที่จะทำให้สถานการณ์โควิด 19 พลิกฟื้นและช่วยให้ประชาชนเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิด 19 เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นโรคระบาดที่แพร่เชื้อไปทั่วโลกเมื่อ 100 ปีที่แล้ว

เอส.วี.สุบรามาเนียน ชี้แจงว่า การนำงานวิจัยของเขาไปด้อยค่าวัคซีนคือการบิดเบือนข้อเท็จจริง งานวิจัยสนับสนุนหลักฐานที่ว่าการฉีดวัคซีนคือกลยุทธ์สำคัญในการลดการติดเชื้อและแพร่เชื้อโควิด 19 เช่นเดียวกับการล้างมือ, การสวมหน้ากาก, การอยู่ในสถานที่ๆ อากาศถ่ายเทสะดวก และการเว้นระยะห่างทางสังคม

ข้อมูลอ้างอิง:

https://www.politifact.com/factchecks/2021/oct/19/youtube-videos/harvard-study-found-vaccinations-alone-arent-enoug/