ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : ผักแขยง แก้ไขมันอุดตัน แก้มะเร็งได้ จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์คลิปแนะนำผักแขยง พร้อมข้อความว่า “ผักแขยงเป็นผักที่โด่งดังไปทั่วโลก ไทยส่งออกอันดับ 1 ฝรั่งแห่กินแก้ไขมันอุดตัน แก้มะเร็งได้” เรื่องนี้จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ภกญ.ดร.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ในภาพรวม ยังไม่พบงานวิจัยว่า “ผักแขยงช่วยลดไขมันได้” แต่พบว่าผักแขยงมีฤทธิ์ปกป้องหลอดเลือดไม่ให้ถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระหรือว่าสารพิษ เรื่อง “ผักแขยงต้านมะเร็ง” ไม่มีการศึกษาวิจัยโดยตรง แต่อาจจะอนุมานจากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็ไม่ได้ยืนยันทั้งหมด นอกจากนี้ มีการกล่าวถึงผักแขยงในภาษาต่าง ๆ พูดได้ว่า “แขยง” เป็นหนึ่งในผักประจำถิ่นอาเซียนที่มีคนหลายชาติสนใจและกินเป็นอาหารประจำครัวเรือน ซึ่งรวมถึงคนไทยนิยมกินเป็นผักเคียงด้วย แพทย์แผนไทย มีบันทึกสรรพคุณ “ผักแขยง” ไว้หรือไม่ ? “แขยง” เป็นผักพื้นบ้านของประเทศไทย แพทย์พื้นบ้านก็มีการใช้ผักแขยงเพื่อดูแลสุขภาพ เช่น ขับลม ช่วยเป็นยาระบาย รักษาฝีหนอง โดยการนำมาทุบ ตำ โปะกับฝีกับหนอง “ผักแขยง” มีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองที่แผลได้ เชื่อมโยงกับการใช้แบบโบราณ การนำต้นสดผักแขยงมาตำแล้วโปะกับแผล ป้องกันการเกิดหนอง หรือแก้ผดผื่นคันได้ […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : 6 โรคร้าย จากนกพิราบ จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์เตือน นกพิราบมีเชื้อโรคอันตราย สามารถก่อให้เกิดโรคได้ ถึง 6 โรค มีตั้งแต่เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดอักเสบ จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.ดร.นพ.นพพร อภิวัฒนากุล หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่แชร์เตือนนกพิราบมีอันตรายสามารถก่อโรคได้มากถึง 6 โรค… เป็นความจริง เพราะนกพิราบสามารถนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายคนได้หลายโรค โรคที่ 1. โรคคริปโทค็อกโคซิส เกิดจากเชื้อรา ทำให้ปอดติดเชื้อ ? โรคคริปโทค็อกโคซิส (Cryptococcosis) เกิดจากเชื้อราคริปโทค็อกคัส นีโอฟอร์แมนส์ (Cryptococcus Neoformans) เพราะว่าเชื้อราคริปโทค็อกคัส นีโอฟอร์แมนส์ เข้าสู่ร่างกายทางเดินหายใจและไปฟักตัวอยู่ที่ปอดก่อน ถ้าภูมิคุ้มกันไม่ดีเชื้อก็จะแพร่ไปอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ มีอวัยวะหนึ่งในร่างกายที่เชื้อราคริปโทค็อกคัสชอบมากก็คือ “สมอง” ไม่ใช่เฉพาะสมองเท่านั้นที่เชื้อราคริปโทค็อกคัสเข้าไปติดได้ แต่ยังมีที่ตับ ม้าม และผิวหนัง โรคที่ 2. โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อผ่านระบบทางเดินอาหาร และทำให้เสียชีวิต ? เรื่องนี้เป็นความจริง แต่มีความสัมพันธ์กับโรคที่ […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ขยี้ตาบ่อย เสี่ยงตาบอด จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ข่าวชายชาวต่างชาติเกือบตาบอด เพราะขยี้ตาบ่อยตั้งแต่เด็ก ทำให้ต้องพบจักษุแพทย์ และต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นไปได้… เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความบอบบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณกระจกตาดำ ที่มองเห็นเป็นตาดำ มีลักษณะเฉพาะที่มีความบอบบาง และสำคัญกับการทำงานของดวงตามาก เพราะฉะนั้นการที่ถูกกระทำหรือถูกขยี้อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง นอกจากจะทำให้เกิดการถลอกหรือเกิดบาดแผลบริเวณกระจกตาดำ ในระยะยาวยังทำให้ความแข็งแรงของบริเวณกระจกตาดำเสียไป เกิดภาวะที่ทางการแพทย์เรียกว่า “กระจกตาย้วย” ทางการแพทย์เรียกว่าโรคเคอราโทโคนัส (Keratoconus) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนไทย ลักษณะของโรคกระจกตาย้วย ภาวะกระจกตาย้วยเกิดจากการสูญเสียความแข็งแรงของบริเวณกระจกตาดำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกระจกตา มีลักษณะย้วยลงมามากกว่าปกติ เรียกโรคนี้ว่า “กระจกตาย้วย” สำหรับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง “กระจกตาย้วย” ได้แก่ 1. คนที่ขยี้ตาบ่อย ๆ ความแข็งแรงของกระจกตาเสียไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกระจกตา อาจเป็นคนที่กระจกตาอักเสบ หรือเป็นภูมิแพ้บริเวณเยื่อบุตา ก็ทำให้เกิดอาการคันและมีพฤติกรรมขยี้ตารุนแรงเป็นประจำ 2. กลุ่มคนที่มีความผิดปกติของยีน (ดาวน์ซินโดรม : Down syndrome) หรือกลุ่มคนอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงเสียความแข็งแรงของกระจกตาดำ ร่วมกับการขยี้ตาก็อาจจะทำให้เกิดภาวะกระจกตาย้วยได้ สังเกตอาการอย่างไรว่ามีภาวะกระจกตาย้วย […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : โรคที่ได้จากการกินกากหมู จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ว่ากินกากหมูแล้วจะได้โรคต่าง ๆ ทั้งความดันเลือดสูง มะเร็ง และหลอดเลือดตีบตัน เรื่องนี้จริงหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร.กิตณา แมคึเน็น อาจารย์ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถ้าจะแชร์อยากให้เพิ่มข้อความ “ไม่ดี” ในแง่ที่ว่า “กินปริมาณมากและกินประจำ” ส่วนกรณีที่บอกว่ากินกากหมูแล้ว จะได้โรคต่าง ๆ ทั้งความดันเลือดสูง มะเร็ง และหลอดเลือดตีบตัน รู้สึกว่าเป็นการตีตราให้โทษของกากหมูมากเกินไป เพราะกากหมูก็ไม่ได้เป็นตัวร้ายขนาดนั้น เนื่องจากอาหารทุกอย่างมี 2 ด้าน ทั้งคุณและโทษ ข้อ 1. กินกากหมูแล้ว หลอดเลือดตีบตัน ? ถ้าบอกว่ากินกากหมูแล้วเสี่ยงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือหลอดเลือดตีบตัน… ถูกต้อง คุณค่าทางโภชนาการของกากหมูคือให้พลังงานและไขมัน ไขมันที่ได้ส่วนใหญ่เป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งกรดไขมันอิ่มตัวจะส่งผลต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดแน่ ๆ ทำให้หลอดเลือดตีบตันได้ นอกจากนี้ กากหมูยังให้คอเลสเตอรอลด้วย ซึ่งคอเลสเตอรอลและกรดไขมันอิ่มตัวไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพของหลอดเลือดและหัวใจ ไม่ได้หมายความว่ากินกากหมูปุ๊บแล้วจะเป็นหลอดเลือดตีบตัน ขึ้นกับบริบทรอบตัวด้วย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน เกิดจากการที่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เกิดการตีบหรืออุดตันอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : 10 ข้อดีของกะปิ จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ 10 ข้อดีของกะปิ เช่น บำรุงกระดูก ป้องกันฟันผุ มีวิตามิดี บี 12 โอเมก้า 3 จริงหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร.กิตณา แมคึเน็น อาจารย์ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ข้อความที่แชร์มีทั้งจริง และเป็นเหตุเป็นผลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ข้อ 1. กะปิบำรุงกระดูก ? แคลเซียมจะถูกปลดปล่อยจากกะปิถ้าผ่านความร้อน ในกะปิมีแคลเซียมจริง ถ้ากะปินั้นทำจากเคยหรือกุ้งก็มีแคลเซียมที่สูง กะปิคุณภาพดี น้ำหนัก 100 กรัม จะมีปริมาณแคลเซียมได้มากถึง 1,300-1,400 มิลลิกรัม กะปิที่คุณภาพไม่ดี หรือรอง ๆ ลงมา น้ำหนัก 100 กรัม อาจจะเหลือแคลเซียมประมาณ 400-500 มิลลิกรัม มีการเปรียบเทียบปริมาณแคลเซียมในกะปิกับแคลเซียมในนมวัว โดยบอกว่าแคลเซียมในกะปิมีมากกว่าในนมวัวหลายเท่า ซึ่งเรื่องนี้จะต้องคิดตามน้ำหนัก ดังนี้ กะปิหนัก 100 กรัม มีแคลเซียมประมาณ 1,300-1,500 […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : น้ำต้มใบกระท่อม รักษาเบาหวานหายแบบถาวร จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวาน ดื่มน้ำต้มใบกระท่อม จะทำให้หายจากเบาหวานได้ถาวร จริงหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.พญ.ทิพาพร ธาระวานิช ผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ ประธานศูนย์เบาหวาน โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จากที่แชร์กันว่า “ดื่มน้ำต้มใบกระท่อมรักษาเบาหวานหายแบบถาวร” นั้น ไม่เป็นความจริง ปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาวิจัยทางคลินิกว่า “กระท่อม” สามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานลดลงได้ ที่สำคัญ ยังไม่มีหลักฐานว่าใบกระท่อมสามารถทำให้เบาหวานหายขาดได้ ซึ่งรวมถึงยาแผนปัจจุบันด้วยก็ยังไม่มียาตัวไหนที่มีหลักฐานว่าสามารถทำให้เบาหวานหายขาดได้ ใบกระท่อมช่วยรักษาเบาหวานได้ หรือไม่ ? จากการศึกษาในหลอดทดลอง ดูว่าเซลล์กล้ามเนื้อสามารถดึงน้ำตาลเข้ามาในเซลล์ได้ดีขึ้นหรือไม่ พบว่าเมื่อใส่ใบกระท่อมเข้าไป ปรากฏว่าเซลล์กล้ามเนื้อสามารถนำน้ำตาลกลับเข้าสู่เซลล์ได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อความเข้มข้นของกระท่อมเพิ่มขึ้น ปรากฏว่าเซลล์กล้ามเนื้อตายไป การทดลองในเซลล์ไม่สามารถจะตีความ และ/หรือ นำมาใช้ในมนุษย์ได้โดยตรง  แต่ตามหลักต้องเริ่มจากการศึกษาในหลอดทดลอง ต่อมาก็จะเป็นการศึกษาในสัตว์ทดลอง หลังจากนั้นศึกษาวิจัยในคน ที่บอกว่า “กระท่อม” ไม่มีผลข้างเคียงต่อตับและไต จริงหรือ ? เรื่องนี้ไม่จริง เนื่องจากมีรายงานมาแล้วว่ากระท่อมทำให้มีตับอักเสบ ตัวเหลือง ตาเหลือง และไตวายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาหลาย ๆ อย่างร่วมกัน นอกจากนี้ มีอาการที่สำคัญก็คือทำให้ใจสั่น และความดันเลือดสูงขึ้นได้ […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์เตือนว่าไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง เพราะจะกัดกระเพาะและทำให้ท้องอืดได้ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ภกญ.ดร.พิมพิกา กาญจนดำเกิง ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีการแชร์ว่า “ไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง” มีบางส่วนจริงสำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และเป็นผู้ที่มีปัญหาน้ำย่อยน้ำตาลในนม (น้ำตาลแล็กโทส) ไม่เพียงพอ แต่คนที่สุขภาพดีทั่วไปสามารถดื่มนมตอนท้องว่างได้ เมื่อนมลงไปอยู่ในท้องจะแปรสภาพเป็นกรดอ่อน ๆ และกัดกระเพาะอาหารได้ ? เรื่องนี้ไม่จริง นมไม่สามารถกัดกระเพาะอาหารด้วยตัวของนมเอง ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ นมตามธรรมชาติมีความเป็นกรดอ่อน ๆ แต่ความเป็นกรดอ่อนของนมแทบจะไม่ต่างจากความเป็นกลางเลย เนื่องจากนมตามธรรมชาติจะมีองค์ประกอบเป็นเกลือของกรด โปรตีนในนม และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย ดังนั้น “นมไม่กัดกระเพาะ” ถึงแม้ว่านมไม่กัดกระเพาะ แต่นมสามารถกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะได้ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มนมในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคกระเพาะอาหารอยู่ ไม่มีปัญหาโรคกระเพาะอาหาร สามารถดื่มนมตอนท้องว่างได้หรือไม่ ? กลุ่มคนดังต่อไปนี้ สามารถดื่มนมได้ตามปกติ 1. ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร 2. ไม่มีปัญหาโรคกระเพาะอาหาร 3. ไม่มีภาวะพร่อง หรือขาดน้ำย่อยที่ย่อยน้ำตาลแล็กโทสในนม มีหลายคนเข้าใจว่า “ดื่มนมตอนท้องว่าง” นมจะช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร จริงหรือไม่ ? ถ้าใช้คำว่า “เคลือบกระเพาะอาหาร” คือ […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : เขย่าลูก อันตรายจริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ข้อความว่าการเขย่าลูกทำให้เกิดอันตรายหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง ไปจนถึงทำให้ตาบอด เรื่องนี้จริงหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ นพ.กุลเสฏฐ ศักดิ์พิชัยสกุล กุมารแพทย์ประสาทวิทยา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข “การเขย่าลูก” ที่แชร์กัน มีชื่อที่เรียกทางการแพทย์ว่า “Shaken Baby Syndrome” Shaken การเขย่า Baby  เด็กทารก Syndrome อาการ การเขย่าลูกจะทำให้เกิด “เลือดออกในสมอง” ? เขย่าลูกทำให้เลือดออกในสมอง เป็นเรื่องจริง การเขย่าเด็กโดยเฉพาะในเด็กทารก เด็กเล็ก ๆ อายุน้อยกว่า 2 ขวบ สามารถทำให้เกิดเลือดออกในสมองได้ เนื่องจากขนาดของศีรษะเด็กจะใหญ่กว่าขนาดร่างกาย นั่นคือเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว และส่วนกล้ามเนื้อคอที่ยังไม่แข็งแรงพอ ถ้ามีการเขย่าเกิดขึ้น ศีรษะเด็กจะมีการขยับไปมา และในกะโหลกศีรษะมีเนื้อสมองอยู่ การเขย่าแบบนี้ เนื้อสมองจะถูกกระทบกระแทกทุก ๆ ด้าน เพราะว่ากะโหลกก็คือกระดูก ทำให้เกิดเลือดออกในสมองได้ กะโหลกแตกได้จากการเขย่าลูก จริงไหม ? การเขย่าลูกไม่สามารถทำให้กะโหลกศีรษะเด็กแตกได้ แต่ขณะที่ผู้ใหญ่เขย่าเด็กเกิดความเครียด […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : กินกุ้งดิบเสี่ยงตาบอดจากพยาธิปอดหนู จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ข่าวเกี่ยวกับการกินเมนูกุ้งดิบ มีพยาธิปอดหนูไชเข้าตา จนทำให้ตาบอดได้ จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศ.ดร.นพ.เผด็จ สิริยะเสถียร หัวหน้าภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สิ่งที่แชร์กันว่า “กินกุ้งดิบเสี่ยงตาบอดจากพยาธิปอดหนู” เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง พยาธิตัวต้นเหตุ ชื่อ “พยาธิปอดหนู” ? พยาธิปอดหนู หรือ พยาธิหอยโข่ง ปกติแล้วตัวอ่อนจะอยู่ตามสัตว์ชนิดอื่น (เช่น หอยโข่ง กุ้ง) สัตว์เลื้อยคลาน (เช่น ตะกวด) เมื่อหนูไปรับตัวอ่อนจากสัตว์เหล่านี้เข้ามา พยาธิจะไชไประบบประสาทส่วนกลาง จากนั้นมาที่ปอด ขณะที่พยาธิอยู่ในหลอดเลือดแดงของปอดหนู ก็จะผสมพันธุ์กันออกไข่ ไข่ก็จะฟักเป็นตัวอ่อน และตัวอ่อนก็จะไชจากหลอดเลือดแดงที่ปอดหนูไปทางเดินอาหารของหนู จากนั้นก็ปะปนมากับมูลของหนู พยาธิจากปอดหนู กระจายสู่สัตว์อื่น ? หอยโข่ง กุ้ง หรือตะกวด (ตัวเงินตัวทอง) กินมูลของหนูเข้าไปซึ่งมีตัวอ่อนอยู่ ตัวอ่อน (พยาธิ) ก็จะเข้าไปเจริญเติบโตอยู่ในสัตว์เหล่านั้น เมื่อคนกินสัตว์เหล่านั้นเข้าไปโดยปรุงไม่สุก พยาธิก็จะเข้าไปสู่ลำไส้ แล้วไชผ่านเข้าไปในกระแสเลือด ไปที่ระบบประสาทส่วนกลางหรือเยื่อหุ้มสมอง และไปอยู่ในน้ำไขสันหลัง พบว่าคนที่มีพยาธิปอดหนูเข้าสู่ร่างกายจะมีอาการทางระบบประสาท แต่เนื่องจากคนไม่ใช่หนูที่พยาธิจะสามารถเจริญเป็นตัวเต็มวัยได้ […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ไขมันในเลือดสูง ให้กินกระเทียมสด และ หอมหัวใหญ่ จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์ข้อมูลเรื่องโรงพยาบาลธรรมชาติ โดยมีข้อหนึ่งระบุว่า ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้กินกระเทียมสดวันละ 10 กลีบ กินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว เรื่องนี้จริงหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ ประธานหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล จากข้อมูลที่แชร์กันว่า “ไขมันในเลือดสูง ให้กินกระเทียมสดและหอมหัวใหญ่” นั้นมีส่วนที่ถูกต้องบ้าง แต่รายละเอียดไม่ครบ อาจจะมีข้อควรระวังของอาหารบางอย่างกับโรคบางอย่างที่ไม่ได้กล่าวถึง ไขมันในเลือดสูงมีหลายระดับ ถ้าหากเป็นไขมันในเลือดสูงที่มีระดับสูงมาก คือมากกว่า 190 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะต้องไปพบแพทย์ กินกระเทียมวันละ 10 กลีบ ช่วยอะไรได้บ้าง ? กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรที่มีการศึกษามาก จนกระทั่งมีการนำหลายข้อมูล หลายการศึกษา มาทำการวิเคราะห์รวมกัน พบว่าการกินกระเทียมมีส่วนช่วยลดไขมันในเลือดได้ “หอมหัวใหญ่” ก็เช่นเดียวกัน เพราะเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับกระเทียม มีการศึกษาหอมหัวใหญ่บ้างแต่น้อยกว่ากระเทียม และพบว่าหอมหัวใหญ่สามารถช่วยลดไขมันในเลือดได้ ที่บอกว่าให้กินกระเทียมมากถึง 10 กลีบ ในการศึกษาไม่ได้ยืนยันจำนวน 10 กลีบ แต่ส่วนใหญ่จะบอกว่ากินอยู่ที่ 5 กรัม ก็สามารถช่วยลด (ไขมันในเลือด) ได้ […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ฟลูออไรด์เป็นสารพิษ ทำให้ไอคิวต่ำ ก่อมะเร็ง เบาหวาน จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์คำเตือนเกี่ยวกับ “ฟลูออไรด์” ที่คุ้นเคยกันว่าอยู่ในยาสีฟันหลายชนิด เป็นพิษต่อร่างกาย ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้ไอคิวต่ำ และเป็นโรคต่าง ๆ หลายโรค เรื่องนี้จริงหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.ทพญ.ดร.วลีรัตน์ ศุกรวรรณ ภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์​ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่แชร์กันว่า “ฟลูออไรด์” คือสารเคมีเป็นพิษ เรื่องนี้ “ไม่เป็นความจริง” ในชีวิตประจำวันมีการใช้ฟลูออไรด์ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย และมีประโยชน์มากกว่าโทษ “ฟลูออไรด์” สามารถพบได้ทั่วไป ทั้งในอากาศ ดิน หิน หรือน้ำ โดยเฉพาะจากแหล่งน้ำธรรมชาติ นอกจากนี้ อาหาร พืชผัก ผลไม้บางชนิด ก็มีฟลูออไรด์เป็นองค์ประกอบอยู่ในนั้น ความเป็นพิษของฟลูออไรด์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรับปริมาณมาก ๆ หรือปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง สะสมเป็นระยะเวลายาวนาน ฟลูออไรด์ทำให้ไอคิวต่ำและเกิดอีกหลายโรค จริงหรือไม่ ? การได้รับฟลูออไรด์กับระดับไอคิว หรือความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก เรื่องนี้ไม่พบความสัมพันธ์และไม่เกี่ยวข้องกันเลย การได้รับฟลูออไรด์ก็ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน หรือโรคต่อมไร้ท่ออื่น ๆ นอกจากนี้ ที่มีการอ้างอิงงานวิจัยเกี่ยวกับฟลูออไรด์นั้น […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : เตือน “น้ำยาบ้วนปาก” ใช้แล้วฟันดำ จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์คำเตือนว่า มีน้ำยาบ้วนปากบางชนิด ใช้แล้วจะทำให้ฟันเป็นคราบดำในปาก เรื่องนี้จริงหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ทพญ.ศิริกาญจน์ อรัณยะนาค ภาควิชาปริทันตวิทยา คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีน้ำยาบ้วนปากที่ใช้ต่อเนื่องแล้วฟันจะดำ “เป็นเรื่องจริง” เพราะหลังจากการใช้น้ำยาบ้วนปากบางประเภท อาจจะทำให้เกิดคราบและเกิดหินปูนได้ น้ำยาบ้วนปากชนิดนี้ เป็นอย่างไร ? น้ำยาบ้วนปากที่ว่ามีส่วนผสมยาฆ่าเชื้อ โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ ตัวยาคลอร์เฮกซิดีน (Chlorhexidine) “คลอร์เฮกซิดีน” ชื่อทางการค้าที่สามารถหาซื้อได้ในประเทศไทย ก็จะมี “ซี 20” “ซีดี 24” การใช้น้ำยาบ้วนปากผสมยาฆ่าเชื้อคลอร์เฮกซิดีน ควรได้รับคำแนะนำภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ ในการสั่งจ่าย และแนะนำวิธีการใช้ น้ำยาบ้วนปากสร้างคราบบนฟันได้อย่างไร ? “คราบบนฟัน” เกิดจากปฏิกิริยาของสารเคมีที่มีผลต่อปฏิกิริยาในช่องปาก ทำให้เกิดคราบสีดำหรือน้ำตาลติดบนตัวฟัน (staining) ซึ่งเป็นผลตามมาจากการบ้วนปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อตัวนี้ แต่สามารถขัดออกได้ด้วยการขัดฟันของทันตแพทย์ การใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าด้วยวัตถุประสงค์ใด โดยหลักการแล้วทันตแพทย์แนะนำดังนี้ 1. ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเป็นประจำทุกวัน 2. แต่ละครั้งไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเป็นระยะเวลานาน 3. ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากนานติดต่อกันมากกว่า 2–3 สัปดาห์ คำแนะนำนี้ครอบคลุมถึงน้ำยาบ้วนปากที่สามารถหาซื้อได้โดยทั่วไป […]

1 14 15 16 17 18 27