กรุงเทพฯ 18 ก.พ. – อธิบดีกรมชลประทานระบุ จะปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล เนื่องจากมีฝนตกภาคกลางตอนล่างและมีน้ำไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น ส่วนค่าความเค็มของน้ำดิบซึ่งนำมาผลิตน้ำประปาที่สถานีสูบน้ำสำแล จ.ปทุมธานี ช่วงน้ำทะเลหนุนสูง 14-18 ก.พ. ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทานเปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่ 19-20 ก.พ. จะปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลลงจากอัตราวันละ 19 ล้าน ลบ.ม. เหลือวันละ 14 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งที่ 2 หลังจากที่ปรับลดครั้งแรก จาก 24 ล้าน ลบ.ม. เหลือวันละ 19 ล้าน ลบ.ม. ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ. พร้อมกับรักษาระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์และควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราเฉลี่ย 85 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เนื่องจากมีฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาบริเวณอำเภอคลองลาน จังหวัดกำเเพงเพชร ทำให้มีปริมาณน้ำท่าในเเม่น้ำปิงและไหลลงสู่เเม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น
สำหรับที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ระบายน้ำในอัตราเฉลี่ยวันละ 5.18 ล้านลบ.ม. ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. แล้วจะทยอยปรับลดการระบายลงเหลืออัตราเฉลี่ยวันละ 4.32 ล้านลบ.ม. ขณะเดียวกันจะควบคุมระดับเหนือเขื่อนพระรามหกให้อยู่ในเกณฑ์ พร้อมระบายน้ำอยู่ในอัตราเฉลี่ย 40 ลบ.ม. ต่อวินาที จากนั้นจะทยอยปรับลดการระบายลดลงเหลืออัตราเฉลี่ย 20 ลบ.ม. ต่อวินาทีในลำดับต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง-เจ้าพระยา โดยการระบายน้ำผ่านทาง ประตูระบายน้ำ (ปตร.) สิงหนาท 2 ในอัตราไม่ต่ำกว่า 12 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมควบคุมปริมาณน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนพระรามหก และปตร.สิงหนาท 2 รวมกันที่บริเวณอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า 100 – 120 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีซึ่งเป็นไปตามแผนบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งเพื่อให้มีน้ำเพียงพอใช้ในทุกภาคส่วน
นายประพิศกล่าวถึงผลการตรวจวัดค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานีสูบน้ำสำแล จังหวัดปทุมธานีว่า เมื่อวานนี้ (17 ก.พ.) อยู่ที่ 0.19 กรัมต่อลิตรซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงตั้งแต่ 14-18 ก.พ. กรมชลประทานดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการน้ำในการบรรเทาปัญหาน้ำทะเลหนุนสูงในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างรัดกุม พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำเค็มรุกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำและอาคารชลประทานให้สอดคล้องกับช่วงการหนุนของน้ำทะเลอย่างเหมาะสมเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้มากที่สุด.-สำนักข่าวไทย