กรุงเทพฯ 9 ก.ย. – กระทรวงพลังงานซ้อมแผนฉุกเฉิน รับทุกสถานการณ์ ย้ำไทยไม่ต้องมีสำรองทางยุทธศาสตร์ (เอสพีอาร์) และยังไม่ลดสำรองน้ำมันดิบ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการซ้อมแผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน มี 33 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เตรียมความพร้อมและสร้างความเชื่อมั่น โดยจำลองสถานการณ์ร้ายแรงสุดเหตุไม่สงบในตะวันออกกลาง “การปิดช่องแคบฮอร์มุซ” ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยหายไปถึงร้อยะ 62 ต่อวัน ประเทศไทยอาจจำเป็นต้องงดส่งออกน้ำมันและมีการปันส่วนน้ำมัน
นอกจากนี้ สถานการณ์ดังกล่าวได้ถูกจำลองเพิ่มเติมให้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อหลาย ๆ ภาคส่วน ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือในการบริหารจัดการสถานการณ์ร่วมกันระหว่างกระทรวง กรม และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องการซ้อมจะนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศต่อไป และในส่วนของภาคประชาชนนั้น สามารถมีส่วนร่วมช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้เกิดความประหยัด ให้ความสนใจต่อข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ รวมทั้งให้ความร่วมมือต่อมาตรการในช่วงเวลาจำเป็นดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการช่วยลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดเหตุสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย
ส่วนกรณีราคาน้ำมันดิบขณะนี้ปรับลดลง หลังซาอุดีอาระเบียระบุจะเร่งฟื้นกำลังผลิตน้ำมันจากโรงงานที่ถูกโจมตีกลับมาโดยเร็วนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เป็นไปตามประเมินที่ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ประมาณ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และจะยังไม่ยกเลิกมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ลดเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันแต่อย่างใด และจากภาวะสถานการณ์พลังงานในขณะนี้ กระทรวงฯ ไม่มีแผนลดสำรองน้ำมันทางกฎหมายในส่วนของน้ำมันดิบจากร้อยละ 6 เหลือร้อยละ 5 แต่อย่างใด รวมทั้งจากที่ประเทศไทยไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันดิบเป็นเพียงผู้นำเข้า และจากที่ปัจจุบันแหล่งน้ำมันมีหลากหลาย ประเทศจึงไม่จำเป็นต้องมีสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (SPR) แต่อย่างใด เพราะต้องลงทุนสูงมาก และที่ผ่านมาไทยสามารถบริหารสำรองน้ำมัน จนทำให้มีเพียงพอรวม 54-57 วัน.-สำนักข่าวไทย