กลาโหม 27 พ.ย.-“พล.อ.ประวิตร” กำชับหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพวางตัวเป็นกลาง ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง พร้อมดูแลความปลอดภัยทุกพื้นที่ที่นักการเมืองทำกิจกรรมอย่างเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายที่กำหนด
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ว่า พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ สนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมที่อำนวยกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในต้นปี 2562 โดยเน้นย้ำผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับให้วางตัวอย่างเหมาะสม เป็นกลาง ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคการเมืองใด ขณะเดียวกันขอให้ร่วมกันดูแลความปลอดภัยในทุกพื้นที่ เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถลงพื้นที่ทำกิจกรรมทางการเมืองอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันภายใต้กรอบกฎหมายที่กำหนด โดยให้หน่วยทหารในพื้นที่ลงไปดูแล เนื่องจากไม่อยากให้มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงอย่างที่แล้วมา และหวังว่าพรรคการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่สมัครเข้ามาทำงานด้านการเมืองคงมาร่วมทางการเมืองด้วยความสะอาด เป็นที่คาดหวังของประชาชนต่อไป
พล.ท.คงชีพ กล่าวด้วยว่า ไม่ได้ส่งทหารไปสังเกตการณ์ แต่ต้องเตรียมความพร้อมเรื่องความปลอดภัย เช่น อาวุธสงคราม ซึ่งจะต้องไม่มีการใช้ความรุนแรง รวมถึงยาเสพติด ซึ่งเป็นห่วงโซ่ของอาชญากรรม รวมถึงการใช้อาวุธ ทั้งนี้เราต้องหยุดความรุนแรงในพื้นที่เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน และส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยในเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
ส่วนการเปิดให้พรรคการเมืองมาหาเสียงในพื้นที่ทหาร พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า ที่ผ่านมา หากจะเข้าพื้นที่ต้องทำหนังสือแจ้ง และหน่วยทหารจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียมกันภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งวันนี้ทหารต้องวางตัวเป็นกลางอย่างเหมาะสม และทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการดูแลความมั่นคง
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จมากขึ้น พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ติดตามตรวจสอบการให้ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งข้อความและภาพที่มีการบิดเบือน เชื่อมโยงเกิดความเสียหาย หรือสร้างความเข้าใจผิดในสังคม โดยขอให้พิจารณาความเหมาะสมในการตอบโต้ หรือการให้ข้อมูลที่ถูกต้องในกระบวนการภารกิจในการทำหน้าที่ของกองทัพ ในสถานการณ์ปัจจุบันถือว่ามีความจำเป็นจะต้องสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนเพื่อนำไปสู่ความเชื่อมั่นและการสนับสนุนของภาคประชาชน.-สำนักข่าวไทย