เมียนม 29 ส.ค. – รัฐบาลเมียนมาประกาศไม่ยอมรับรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการสังหารหมู่ชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ที่สหประชาชาติเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่ระบุว่ากองทัพเมียนมาจงใจสังหารหมู่ชาวโรฮิงญาเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมเรียกร้องให้นำตัวผู้บัญชาการกองทัพเมียนมาและผู้เกี่ยวข้องไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทางการเมียนมาระบุว่า ไม่เคยอนุญาตให้คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงของสหประชาชาติเดินทางเข้าไปรัฐยะไข่ รายงานของสหประชาชาติฉบับนี้จึงไม่มีความน่าเชื่อถือ และว่าเมียนมามีคณะกรรมาธิการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อยู่แล้ว ผลการตรวจสอบของเมียนมาพบว่าไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศของจีนซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมียนมาระบุว่า เชื้อชาติศาสนาและประวัติศาสตร์ในรัฐยะไข่มีความซับซ้อน ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์เมียนมาแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมถึงการใช้วิธีการกดดันรัฐบาลเมียนมา จึงเป็นวิธีการที่ไม่เป็นประโยชน์
ทั้งนี้ นับตั้งแต่กองทัพเมียนมาใช้มาตรการปราบปรามอย่างหนักกับชาวโรฮิงญาเมื่อปีที่แล้ว เพื่อตอบโต้ที่ชาวโรฮิงญาโจมตีป้อมตำรวจเมียนมา ส่งผลให้ชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่หลายพันคนต้องเสียชีวิต ขณะที่อีก 700,000 คนอพยพหนีภัยไปยังบังกลาเทศ ท่ามกลางรายงานข่าวว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางในรัฐยะไข่ ทั้งการสังหารหมู่ ข่มขืน รวมทั้งเผาบ้านเรือนของชาวโรฮิงญา
รายงานของยูเอ็นฉบับนี้ยังระบุชื่อนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของเมียนมา 6 นาย รวมถึงพลเอก มินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการกองทัพเมียนมา ว่าสมควรถูกนำตัวไปดำเนินคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ Facebook สื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของโลก ยังประกาศยกเลิกบัญชีผู้ใช้งานและเพจที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่เรื่องราวและข้อความยั่วยุให้เกิดการเกลียดชังกันในประเทศด้วย โดยบัญชีผู้ใช้งานที่ถูกปิดรวมถึงเฟซบุ๊กของพลเอก มินอ่องหล่าย ด้วย ปัจจุบันมีผู้ใช้เฟซบุ๊กในเมียนมามีมากถึง 18 ล้านยูสเซอร์ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เฟซบุ๊กปิดบัญชีการใช้งานของผู้นำทหาร หรือผู้นำทางการเมืองในประเทศใดประเทศหนึ่ง. – สำนักข่าวไทย