กทม. 5 ม.ค.-ตำรวจท่องเที่ยวนำกำลังบุกจับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าโอนเงินไปต่างประเทศ คาโรงแรมย่านรัชดาฯ ยึดของกลางสมุดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็มจำนวนมาก ขยายผลรวบได้อีก 4 คน ในโรงแรมย่านสุขุมวิท 33
ตำรวจท่องเที่ยวนำกำลังบุกจับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่รับโอนเงินกลับไปยังต่างประเทศ ขณะเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษก ยึดสมุดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็มได้จำนวนมาก อาทิ สมุดบัญชีธนาคาร 63 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม 53 ใบ และเอกสารการเข้าพักตามโรงแรมต่างๆ หลายแห่ง เป็นของกลางที่ตำรวจท่องเที่ยวยึดได้จากนายไหล เคน เฟ่ย สัญชาติมาเลเซีย ผู้ต้องหาตามหมายจับก่อเหตุโอนเงินให้กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในต่างประเทศ
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เปิดเผยว่า หลังสืบสวนเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับก่อนหน้านี้ พบว่าผู้ต้องหาหลบซ่อนอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษก จึงนำกำลังเข้าจับ เมื่อตรวจสอบในห้องพบของกลาง โดยจะมีพฤติกรรมเช่าห้องพักหลายแห่งทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด ส่วนบัญชีที่พบเป็นชื่อที่เปิดโดยคนไทย และบางรายชื่อเคยถูกออกหมายจับไว้แล้ว และรับจ้างเปิดบัญชีเป็นประจำ ส่วนบัญชีที่ตรวจพบทั้งหมดจะนำไปเป็นหลักฐานในการออกหมายจับดำเนินคดีทั้งหมด ซึ่งบัตรเอทีเอ็มและสมุดบัญชีเหล่านี้จะมีกลุ่มเครือข่ายมาส่งไว้ให้กับผู้ต้องหา
จากการสอบสวนผู้ต้องหาอ้างว่าเพิ่งเริ่มก่อเหตุ โดยจะโอนเงินกลับไปยังมาเลเซีย และจะได้ส่วนแบ่งร้อยละ 3 ของเงินที่โอนไปแต่ละครั้ง ล่าสุดเพิ่งโอนกลับไปประมาณ 240,000 บาท ทั้งนี้ หลังจากมีการเร่งทำลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เข้ามาอยู่ในไทยอย่างเข้มงวด ปัจจุบันสถิติที่คนไทยจะถูกหลอกเริ่มลดน้อยลง และตำรวจได้ร่วมกับสำนักงาน ปปง. ในการอายัดเงินในบัญชีจากกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้ และสามารถคืนให้กับผู้เสียหายได้แล้วกว่า 130 ล้านบาท ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะเตรียมคืนให้กับผู้เสียหายอีก 8 คน
หลังการจับกุมดังกล่าว ตำรวจชุดสืบสวนยังนำกำลังไปขยายผลจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายเดียวกันได้อีก 4 ราย ที่กบดานอยู่ที่พักโรงแรมแห่งหนึ่งย่านซอยสุขุมวิท 33 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา พร้อมยึดของกลางสมุดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็มรวม 14 รายการ จากการสอบสวนผู้ต้องหารับว่าทำหน้าที่เป็นคนกดเงินเพื่อโอนไปให้เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เบื้องต้นตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาฐานใช้หรือมีไว้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมอันได้มาโดยรู้ว่าเป็นของที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้น, นำบัตรประชาชนของผู้อื่นไปใช้ แสดงว่าตัวเป็นเจ้าของบัตร และข้อหาตาม พ.ร.บ.การมีส่วนร่วมในองศ์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย