สมุทรสงคราม 11 ต.ค.-จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการตายที่แน่ชัดของกระเบนราหูในลำน้ำแม่กลองได้ ต้องรอผลตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินและน้ำเพื่อยืนยันอีกครั้ง ซึ่งจะทราบผลเร็วสุด 14 ตุลาคม ขณะที่สัตวแพทย์ชี้ชัดสาเหตุมาจากสารเคมี และจำนวนตายจริงอาจสูงถึง 150 ตัว
ในการประชุมหารือแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหากระเบนราหูตายในลำน้ำแม่กลองในวันนี้ ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม และอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชนในพื้นที่ โดยที่ประชุมยังไม่สามารถชี้ชัดได้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการการตายของกระเบนราหู ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขเพิ้มขึ้นเป็น 45 ตัวแล้ว แต่สัตวแพทย์หญิงนันทริกา ชันซื่อ จากจุฬาฯ ชี้ชัดว่า จากการผ่าซากกระเบน5 ตัว พบค่าไตสูงกว่าปกติถึง 20 เท่า ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่ได้ตายจากสารธรรมชาติ แต่ตายเพราะสารเคมีบางชนิด ที่มีผลให้ตายเฉียบพลัน หลังได้รับสารเคมี 12-24 ชั่วโมง และจำนวนกระเบนราหูที่ตายจริงอาจสูงมากกว่าจำนวนที่พบซากแล้วหลายเท่า หรืออาจสูงถึง 150 ตัว
ขณะที่ภาคประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในลำน้ำแม่กลอง เนื่องจากน้ำเสียจากที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของลำน้ำ จนทำให้ปลากระเบนราหู ซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่อ่อนไหวต่อสิ่งแวดล้อม ตายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยกรมควบคุมมลพิษได้เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดิน รวมทั้งน้ำเสียจากบ่อบัดของโรงงานต้องสงสัยหลายแห่งไปตรวจสอบแล้ว ซึ่งผลวิเคราะห์จะออกมาเร็วสุดในวันที่ 14 ตุลาคมนี้
วิกฤติกระเบนราหูลำน้ำแม่กลองเริ่มส่งสัญญาณมาตั้งแต่ 2 กันยายน และช่วง 10 วันที่ผ่านมา ได้ทยอยตายเพิ่ม พบซากล่าสุดเมื่อวานนี้เป็นตัวที่ 45 ขนาดใหญ่สุดกว้าง 3 เมตร ยาวสุด 4 เมตร โดยทีมกู้ชีพของจังหวัดยังคงเฝ้าระวังต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง
ส่วนปัญหาหอยตายจำนวนมากที่ดอนหอยหลอดได้รับการยืนยันว่า ไม่ได้เกิดจากน้ำเสียจากลำน้ำแม่กลอง แต่เกิดจากปรากฏการณ์แพลงตอนบลูม หรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ ซึ่งจากภาพถ่ายดาวเทียมช่วงวันที่ 2-4 ตุลาคม เห็นชัดในอ่าวไทย บริเวณ จ.สมุทรสงคราม และเมื่อน้ำลดทำให้แพลงก์ตอนไปอุดรูหายใจของหอยจนตาย
ในการประชุมครั้งนี้ภาคประชาชนยังเรียกร้องให้มีการยกปัญหาวิกฤติมลพิษในลำน้ำแม่กลองเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างยังยืนต่อไปด้วย.-สำนักข่าวไทย