เชื่อ 4 เดือน มากพอ “พท.-ภท.” ชิงความได้เปรียบก่อนเลือกตั้ง

กทม. 30 ส.ค.- นักวิชาการธรรมศาสตร์ เชื่อแค่ 4 เดือน มากพอ “พท.-ภท.” ชิงความได้เปรียบก่อนเลือกตั้ง บอกแม้จะประกาศรับเงื่อนไข “พรรคประชาชน” แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลังเป็นรัฐบาลแล้ว ชี้ทุกพรรคต้องการอยู่ยาวและไม่จริงจังเรื่องแก้ รธน. แต่หวังใช้อำนาจควบคุมกลไกรัฐ-ช่วงชิงงบปี 69 ลด-แลก-แจก-แถม สร้างคะแนนนิยม มั่นใจรัฐบาลอายุสั้น เหตุไร้เสถียรภาพคุมเสียง ระบุ “ภูมิธรรม” ไม่มีอำนาจยุบสภา-หากทำตอนนี้ “เพื่อไทย” เจ็บหนักสุด นายปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ทั้งพรรคเพื่อไทยและภาคภูมิใจไทยพยายามช่วงชิงการเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยพบว่าทั้งสองพรรคได้ตอบรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน (ปชน.) ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน การจัดให้มีการออกเสียงประชามติและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อปูทางไปสู่การเป็นรัฐบาล แต่เมื่อเป็นรัฐบาลได้แล้วทุกพรรคย่อมต้องการที่จะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นสิ่งที่เคยรับปากไว้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เช่นเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นต่อกรณีการฉีกบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อปี 2566 พรรคก้าวไกลในขณะที่กำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาลและเกิดการข้ามขั้วในที่สุด “การตอบรับเงื่อนไขเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงการต่อรองกันทางการเมืองเท่านั้น เพราะรูปธรรมที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดกว่าสองปีที่ผ่านมาคือ มีเพียงพรรคประชาชนที่เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ […]

มุมมองนักวิชาการต่อคดี “ทักษิณ – แพทองธาร”

22 ส.ค.- นักวิชาการมองกรณีศาลยกฟ้อง “ทักษิณ” เป็นส่วนหนึ่งในสัญญาณทางคดีที่จะส่งผลต่อการเมืองระยะสั้น ส่วนคดีที่ส่งสัญญาณทางการเมืองได้ชัดเจนที่สุด คือ คดีคลิปเสียง “แพทองธาร” ให้น้ำหนัก 50-50 มีความเสี่ยงสูงที่จะพ้นจากตำแหน่ง รศ.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่ากรณีศาลยกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร เป็นส่วนหนึ่งในสัญญาณทางคดีที่จะส่งผลต่อการเมืองระยะสั้น ส่วนในระยะกลางและระยะยาว ยังคงมีสัญญาณอื่นๆ ประกอบ ทั้งนี้อาจมองว่าคดีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรี คดี ม.112 และกรณีชั้น 14 ของนายทักษิณ อาจไม่ได้เกี่ยวพันกัน เพราะคนละศาล คนละระบบไต่สวน แต่ถ้ามองในมุมของคอการเมือง มีความเชื่อมโยงกันหมด หลายคนมองว่าเมื่อยกฟ้องคดีมาตรา 112  ก็จะเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อคดีของนายกรัฐมนตรี และคดีชั้น 14 ในลักษณะที่บอกว่ามีดีลลับ แต่เป็นเพียงการคาดการณ์และวิเคราะห์ หรือบางครั้งเป็นเพียงจินตนาการ ที่อาจเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ได้ ส่วนตัวจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าการคาดเดาจะเป็นจริงหรือไม่ ส่วนตัวมองว่า คดีทางการเมืองที่ส่งสัญญาณทางการเมืองได้ชัดเจนที่สุด คือคดีคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ของศาลรัฐธรรมนูญ  เพราะเป็นคดีที่เป็นการกระทำทางการเมือง และมีความเป็นนามธรรม สามารถวินิจฉัยไปในแนวทางไหนก็ได้ จึงให้น้ำหนัก 50-50 มีความเสี่ยงสูงที่จะพ้นจากตำแหน่ง. -สำนักข่าวไทย

มองอนาคตการเมืองไทยผ่านคดี “แพทองธาร-ทักษิณ” 

21 ส.ค.- สถานการณ์การเมืองถูกจับตาจากคดี “แพทองธาร-ทักษิณ” ฟังมุมวิเคราะห์จากนักวิชาการ ว่า เรื่องนี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และกำหนดทิศทางการเมืองไทยในอนาคตอย่างไร ติดตามจากรายงาน -สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” จ่อฟ้องนักวิชาการปมตัดขา ชี้อย่าพูดให้แตกแยก

ทำเนียบ 13 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ยัน กต. เตรียมยื่นฟ้อง UN กัมพูชาผิดอนุสัญญาออตตาวา ซัดจงใจไม่ให้เกิดสันติภาพ เผยให้กองทัพ-ทุกภาคส่วน ทำความเข้าใจ ปชช. หลังหวาดระแวงอพยพอีกรอบ ย้ำรัฐบาลไม่ขัดข้อง พร้อมหนุนเครื่องมือป้องอธิปไตย จ่อ ฟ้องนักวิชาการ ที่บอกให้ตัดขา ชี้ อย่าพูดให้เกิดความแตกแยก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนขาขาดอีก 1 นาย เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ว่า ตนได้รับทราบแล้ว และขอแสดงความเสียใจต่อนายทหารดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเห็นใจ เพราะกำลังทำหน้าที่อยู่ ส่วนที่มีทหารระบุหลังจากเกิดกรณีนี้ต้องมีการปกป้องตนเองนั้น ตนคิดว่า ตามสนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศสามารถทำได้ ถ้าเราคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่กระทบ และเป็นปัญหาที่ผิดอนุสัญญาต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้กับระเบิด ผิดอนุสัญญาออตตาวาแน่นอน แต่ก็มีขั้นตอนว่า จะต้องไปดำเนินการยื่นเรื่องฟ้องร้องกับทางสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นให้เห็นว่า เรื่องนี้เป็นปัญหา ทางยูเอ็นจะมีขั้นตอนในการที่จะแจ้งให้ทั้งสองฝ่ายทราบ และจะมีกระบวนการที่จะดำเนินการต่อไป ตรงนี้สามารถทำได้ตามกฎหมาย เมื่อเช้าวันเดียวกัน […]

“นักวิชาการ-สื่อ” มองศาลยุคปัจจุบันปรับตัว รับคำวิจารณ์

โรงแรมอัศวินฯ 14 ก.ค.-“นักวิชาการ-สื่อ” มองศาลยุคปัจจุบันปรับตัว รับคำวิจารณ์ เป็นหลักประชาธิปไตย ชี้หากแก้ไขที่มาตุลาการให้เลือกตั้ง หวั่นซ้ำรอยต่างประเทศ ขอให้ปรับการสื่อสาร เร็ว-เข้าใจง่าย ซัดนักการเมืองมองรัฐธรรมนูญเป็นต้นไม้พิษ แต่เลือกกินผลที่เป็นประโยชน์ ไม่เคยแก้ไขตัวเอง แต่อ้างนิติสงคราม ศาลรัฐธรรมนูญ จัดการเสวนาหัวข้อ “การสร้างระบบถ่วงดุลและบทบาทหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต” นายวันวิชิต บุญโปร่ง รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า มีการตั้งคำถามว่ามีสิทธิ์อะไรที่คนแค่ 9 คน มาตัดสินอนาคต หรือคนที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนโดยตรงนั้น แต่ปัญหาการสื่อสาร รับข้อความบ้านเรา ชอบมองที่ปลายน้ำไม่มองต้นน้ำ ว่าที่ถูกร้องเรียนนั้นเพราะอะไร แล้วเอาปลายน้ำมาตั้งคำถาม และถามการได้มาของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าต้องการประชาธิปไตยจ๋า แบบเม็กซิโก ประชาชนเลือกตั้งศาลทุกระดับ พบว่าประชาชนใช้สิทธิ์แค่ 13% หรือแค่ล้านกว่าคน จากจำนวนคนของทั้งประเทศ ทำให้มีการวิจารณ์ระบบยุติธรรมของชาติตามมา ฝ่ายการเมืองก็คิดวางอำนาจของตน กลายเป็นว่าศาลต้องวิ่งหานักการเมือง วิ่งหาฐานเสียง ทำให้คนมองว่ากระบวนการยุติธรรมถูกปู้ยี้ปู้ยำ แต่ฝ่ายการเมืองบอกว่านี่คือประชาธิปไตย ดังนั้นหากเรื่องนี้เกิดขึ้นในไทย คิดว่าคนค่อนประเทศ หรือส่วนใหญ่จะสวดชยันต์โต ย้อนไปร้อยกว่าปี อำนาจศาล พระเดชพระคุณอยู่ที่คนคนเดียว แล้วจะเอาอย่างนั้นหรือ “ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.นี้ […]

นักวิชาการมองปมฟ้อง “ฮุน เซน” เกินเขตอำนาจศาลไทย

กทม. 23 มิ.ย. – นักวิชาการธรรมศาสตร์ วิเคราะห์สาเหตุที่ “กัมพูชา” ช่วงชิงการนำในการประกาศมาตรการต่างๆ ก่อนไทยดำเนินการ เช่น ระงับนำเข้าน้ำมันและก๊าซ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ประเทศที่กำลังปกป้องอธิปไตยจากผู้ถูกรุกราน ซึ่งจะได้ประโยชน์หากสถานการณ์ถึงจุดที่อาเซียนจะเข้ามาเป็นตัวกลางเจรจา ระบุกรณีไทยฟ้อง ฮุน เซน เกินเขตอำนาจศาลไทย ผศ. ธนภัทร ชาตินักรบ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่ประเทศกัมพูชาประกาศระงับนำเข้าน้ำมันและก๊าซทุกชนิดจากประเทศไทยว่า เหตุผลที่กัมพูชาต้องช่วงชิงการนำในการตัดสินใจเชิงนโยบายต่างๆ ก่อนที่ประเทศไทยจะดำเนินการ เช่น การประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซทุกชนิดจากไทยก่อนที่ไทยจะประกาศระงับการส่งออกไปยังกัมพูชานั้น ถือเป็นแนวทางการตอบโต้ที่เรียกว่าการทูตเชิงรุก เพื่อวางกรอบภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูเป็นประเทศที่มั่นคงและยึดหลักการปกป้องอธิปไตยของตนเอง มากกว่าเป็นประเทศเล็กๆ ผู้ถูกรุกรานที่คอยตั้งรับเพียงอย่างเดียว และยิ่งกัมพูชาพยายามแสดงว่าการกดดันของไทยไม่เป็นผลมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้ไทยต้องยกระดับมาตรการกดดันให้เข้มข้นมากขึ้นอีก ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้ไทยมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาของเวทีระหว่างประเทศ แต่กลับทำให้กัมพูชาดูดีในฐานะประเทศที่กำลังปกป้องอธิปไตยตนเองจากผู้รุกราน ผศ. ธนภัทร กล่าวว่า หากไทยยกระดับมาตรการกดดันขึ้นไปเรื่อยๆ จนผลกระทบขยายตัวและลุกลามไปจนเริ่มสร้างผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่กัมพูชา เกิดเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจหรือการค้าในระดับภูมิภาคอาเซียน ตรงนี้จะเป็นการตอกย้ำว่ากลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ใช้ไม่ได้ผล จำเป็นต้องมีประเทศที่ 3 หรือเวทีนานาชาติในระดับอาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาหาทางออก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง กัมพูชาจะมีภาพจำว่าเป็นผู้ปกป้องอธิปไตยของตนเองและตอบโต้ไทยอย่างมีหลักการ ขณะที่ไทยคือผู้รุกรานที่ยกระดับมาตรการกดดันจนกระทบต่ออาเซียน สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลที่กัมพูชาพยายามช่วงชิงการนำ […]

นักวิชาการแนะอ่านโพลก่อนปรับ ครม.

กทม.15 มิ.ย.-นักวิชาการแนะอ่านโพลก่อนปรับ ครม. ชี้สะท้อนความต้องการของประชาชนที่สุด​ อยากแก้ปัญหาประชาชน ก็ต้องฟังเสียงประชาชน รองศาสตราจารย์ โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวถึงกรณีมหิดลโพลเผยแพร่ผลการสำรวจในประเด็นเรื่องของการปรับ ครม. ซึ่งมีอยู่ 5 กระทรวงที่อยู่ในข่าย ความต้องการของประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพม. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ​ว่า​ ในกระแสข่าวว่ามีความต้องการจากพรรคเพื่อไทยในการปรับ ครม.ขอแนะนำว่าหากต้องการทำเพื่อแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงก็ให้นำโพลล่าสุดไปประเมิน เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมือง โพลที่ออกมาเป็นตัวช่วยชั้นเลิศ รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรแล้ว แค่ฟังเสียงประชาชนและอ่านโพลให้เป็นเท่านั้น รองศาสตราจารย์ โอฬาร​ กล่าวว่า​ ถ้าจะปรับ ครม. ก็ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนไม่ใช่ปรับ เพื่อตอบสนองทางการเมือง เล่นเกมอำนาจโดยไม่เห็นหัวพี่น้องคนไทย อย่าใช้โอกาสในการปรับ ครม. เพื่อสนอง ผลประโยชน์ของตัวเอง ทั้งในเรื่องของการเลือกตั้งและในเรื่องของนโยบายกาสิโน เราทุกคนรู้ว่าความต้องการที่จะฮุบกระทรวงมหาดไทยนั้นเป็นไปเพื่ออะไร​ แต่ถามว่าประชาชนได้ประโยชน์ตรงไหนหากทำสำเร็จแล้วทั้งที่กระทรวงมหาดไทยไม่ได้อยู่ในกลุ่ม กระทรวงที่สมควรต้องถูกปรับเปลี่ยนเสียด้วยซ้ำ รองศาสตราจารย์ โอฬาร​ ย้ำว่า หากจะปรับ ครม.ก็ต้องใช้โอกาสนี้ทำไปเพื่อพี่น้องประชาชน ผลโพลที่ออกมาบอกปัญหาของรัฐบาลไปหมดแล้วว่ากระทรวงไหนต้องรีบแก้ไข อย่างกระทรวงกลาโหม แทบทุกคนฟันธงตรงกันว่าขณะนี้ยังเดินตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเห็นว่าราคาพืชผลตกต่ำ กระทรวงการคลังก็ไม่มีผลงานที่ชัดเจน […]

นักวิชาการมองทิศทางประชุม JBC วันที่สอง

14 มิ.ย. – การประชุม JBC ระหว่างไทย-กัมพูชา วันแรกยังไม่ได้ข้อสรุป ต้องพักการประชุม เพราะกัมพูชามองว่าเป็นไทยที่แถลงฝ่ายเดียว ไม่ใช่ผลการประชุมร่วม นัดประชุมใหม่พรุ่งนี้เช้า (15 มิ.ย.) นักวิชาการมองเรื่องนี้อย่างไร ผลการเจรจาจะออกมาในรูปแบบใด ไปพูดคุยกับ อ.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย .-สำนักข่าวไทย

นักวิชาการวิเคราะห์มาตรการไทย-กัมพูชา ใครได้ ใครเสีย

13 มิ.ย. – ฟังมุมมอง รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังกัมพูชาออก 6 มาตรการกดดันไทย ไม่ซื้อเน็ต ไม่ซื้อไฟ ใครได้ ใครเสีย.-สำนักข่าวไทย

นักวิชาการเตือนอย่าชะล่าใจ แม้สถานการณ์ชายแดนผ่อนคลาย

กทม. 9 มิ.ย. – นักวิชาการ มธ. เตือนอย่าเพิ่งชะล่าใจ เร่งฝึกซ้อมแผนอพยพ-จุดหลบภัย ‘เตรียมกระเป๋าฉุกเฉิน’ ทั้งก่อน-ระหว่าง-หลัง เกิดเหตุ เน้นดูแลกลุ่มเปราะบาง แม้สถานการณ์ไทย-กัมพูชาผ่อนคลาย รศ.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา จะดูผ่อนคลายลงในระดับหนึ่งแล้ว แต่ประเทศไทยยังไม่ควรนิ่งนอนใจ หรืออย่าเพิ่งชะล่าใจ แต่ควรใช้โอกาสนี้เร่งเตรียมความพร้อมให้กับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนที่อาจจะได้รับผลกระทบหากเกิดเหตุความรุนแรงขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ รัฐบาลต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการซักซ้อมแผนรับมือกับภัยพิบัติสงคราม อาทิ กำหนดจุดรวมพล จุดหลบภัย แผนการอพยพ การดูแลประชากรกลุ่มเปราะบาง เด็ก คนชรา ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์ การจัดทำแผนที่ชุมชนและมาตรการชุมชนเมื่อเผชิญเหตุ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ประชาชนมีความพร้อม ไม่ตื่นตระหนก ไม่สับสนหรือขาดสติในขณะที่เกิดเหตุ สำหรับประชาชนที่อยู่ในอาศัยในพื้นที่เสี่ยง คำแนะนำคือควรใช้เวลานี้ตระเตรียมกระเป๋าฉุกเฉิน ซึ่งมีอุปกรณ์ยังชีพพื้นฐาน เอกสารสำคัญ ยาสามัญประจำตัว ฯลฯ หากเกิดเหตุก็สามารถหยิบกระเป๋าใบนี้แล้วเดินทางไปยังพื้นที่หรือศูนย์หลบภัยได้ทันที รศ.อัจฉรา กล่าวว่า หากเกิดการปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย ประชาชนกลุ่มคนเปราะบางจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ฉะนั้นสิ่งที่พื้นที่หรือชุมชนต้องดำเนินการคือการจัดทำระบบเตือนภัยพิเศษ […]

นักวิชาการแนะเร่งเจรจากัมพูชา ด้วยท่าทีชัดเจน

29 พ.ค. – อ.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ มองท่าทีผู้นำระดับสูงกัมพูชาที่แสดงออกผ่านเฟซบุ๊ก เป็นลักษณะการเมืองสองหน้า แนะไทยต้องเร่งทำความเข้าใจภายในประเทศ และข้อยุติที่ตรงกันต่อ MOU 44 จากนั้นควรเร่งเจรจากัมพูชา ด้วยท่าทีที่ชัดเจนและเข้มแข็งของผู้นำ.-สำนักข่าวไทย

1 2 3 21
...