กรุงเทพฯ 18 ต.ค. – ธ.กรุงเทพ รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 12,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ 9 เดือนปี 2567 จำนวน 34,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4% ตั้งสำรองลดลง
ในไตรมาส 3 ปี 2567 เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ การส่งออกของไทยที่เพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้า และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การส่งออก และการขยายตัวของการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลกระทบจากน้ำท่วม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่สำคัญต่อการจัดหาพลังงานโลก และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางขยายตัว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นความท้าทายหรืออาจเป็นโอกาสทางธุรกิจ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อบริบทโลกให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎเกณฑ์ของทางการ ตลอดจนความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ธนาคารกรุงเทพในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ยังคงมุ่งเน้นให้คำแนะนำลูกค้าเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ โดยส่งเสริมการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมดูแลและช่วยเหลือธุรกิจไทยให้ปรับตัวสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสนับสนุนลูกค้าให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการไปยังต่างประเทศ ในขณะเดียวกันธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งยึดมั่นแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) โดยให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและการเติบโตอย่างยั่งยืน
ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2567 จำนวน 34,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากการบริหารจัดการสภาพคล่องของธนาคารและอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ สุทธิกับต้นทุนเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้นตามภาวะอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 3.05 สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการลงทุนตามสภาวะตลาด และรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาด โดยที่ธนาคารยังคงรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 46.3 ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 3 ปี 2567 ธนาคารจึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับ 9 เดือนปี 2567 มีจำนวน 27,204 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,638,697 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.2 จากสิ้นปีก่อน โดยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ยังคงมีการเติบโต สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 266.6 เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 จำนวน 3,109,982 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.3 จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 84.8 ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ร้อยละ 20.8 ร้อยละ 17.4 และร้อยละ 16.6 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด. -516-สำนักข่าวไทย