เอกชนจับตาเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐ ชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก

นครราชสีมา 2 พ.ย.-เอกชนจับตาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี ไทยก็ได้ประโยชน์จาก Trade war หากเป็น “แฮร์ริส” ทุกอย่างจะยังคงเดิม แต่หากเป็น “ทรัมป์” การกีดกันการค้าจะรุนแรงมากขึ้น แนะไทยต้องมีลอบบี้ยิสต์ ในการเจรจาและวางนโยบายที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ปัญหาสินค้าจีนทะลักกระทบผู้ประกอบการไทยจะรุนแรงขึ้น วอนรัฐบาลเร่งหามาตรการป้องกันแก้ไข

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เชื่อว่าทุกฝ่ายจับตาว่าใครจะได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ และเป็นอันดับหนึ่งทุกด้านของโลก ระหว่างนายโดนัล ทรัมป์ และนางกัมลา แฮร์ริส ซึ่งนโยบายของทั้งสองคนมีความแตกต่าง และไม่ว่าใครจะได้รับคัดเลือกก็ต้องส่งผลไปทั่วโลกรวมถึงไทย ในช่วงที่โดนัล ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสมัยที่หนึ่ง ก็เกิดผลกระทบเมื่อเกิด Trade war โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทำให้ต้องเกิดการปรับตัวขนาดใหญ่ เช่น ปี 2562 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐอันดับ 14 แต่ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งก็ดำเนินการเรื่อง Trade war จีนเช่นเดียวกันส่งผลให้ 9 เดือนของปี 2567 ประเทศไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้น 10% และเลื่อนขึ้นมาเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐอันดับที่ 12


ฉะนั้นหมายความว่าภายใต้ Trade war ของทั้งสองนโยบายของ 2 ผู้นำจากต่างพรรค ประเทศไทยยังได้ประโยชน์ทางด้านการค้า ทั้งสองนโยบายเหมือนกันคือเรื่อง Trade war และการมองจีนเป็นศัตรูหมายเลข1 ฉะนั้นมาตรการต่างๆก็จะเหมือนกันแต่มิติความรุนแรงจะแตกต่างกันโดยปัจจุบันทางด้านการค้าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ขึ้นภาษีรถยนต์อีวีเช่นรถยนต์อีวี ที่นำเข้าจากจีนจากเดิม 25% ขึ้นไปอีก 75% รวมเป็น 100% และจะมีการเรียกเก็บภาษีที่ผ่านมาในเดือนพฤษภาคม 18,000 ล้านเหรียญในอุตสาหกรรมนำเข้าจากจีนโดยเฉพาะพลังงานสะอาด แผงโซล่า แต่หากเป็นโดนัล ทรัมป์ จะมีความรุนแรงขึ้น คือจะมีการขึ้นภาษีจากทุกประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ อย่างน้อย 10 ถึง 20% แต่กับจีนจะให้เป็นพิเศษคือจะเพิ่ม 60 ถึง 100% จะเห็นว่านโยบายมีความรุนแรงขึ้นซึ่งหากเป็น โดนัล ทรัมป์ ก็จะบอกว่าMake America great again ซึ่ง จะมอง เรื่อง ดุลการค้าและความมั่นคงสูงเป็นพิเศษ

ส่วนนโยบายเรื่องการลงทุนหาก นางกมลา แฮร์ริสได้รับชัยชนะก็จะดำเนินนโยบายเช่นเดียวกับ โจ ไบเดน คือเพิ่มการเก็บภาษีจากปัจจุบัน 21% เป็น 28% แต่หากเป็นทรัมป์จะส่งเสริมการลงทุนในประเทศให้กลับมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคทั้งหลายเพื่อการจ้างงาน สร้างจีดีพี โดยจะมีนโยบายลดภาษีนิติบุคคล 15% จาก


ส่วนเรื่องการกีดกันเทคโนโลยี ทรัมป์จะมีความรุนแรงกว่าโจ ไบเดน ซึ่งหาก แฮร์ริส มาก็คงดำเนินการเหมือนเดิมเช่นการออกกฏหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งก็คือการที่จะไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงหรือขายเทคโนโลยีเหล่านี้ไปยังประเทศที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งหมายถึง จีน จะเห็นว่ามาตรการนี้เข้มข้น เพราะเกรงว่า จีนจะได้ชิปที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงหรือว่าขนาดเล็กตอนนี้ก็มีการกีดกันทุกอย่างกระทั่งการขอความร่วมมือจากประเทศเนเธอร์แลนด์ บริษัทASML ผู้ผลิตเครื่องผลิตชิปรายเดียวของโลก ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ก็คือประเทศจีน เพราะว่ากลัวว่าจีนจะไปผลิตชิปชั้นสูงแข่งกับอเมริกา ส่วนทรัมป์ ก็บอกว่า จะไม่ให้จีนลงทุนในเทคโนโลยี สาธารณูปโภค รวมถึงพลังงาน

ส่วนมิติปัญหาเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ทั้ง 2 พรรค มีความแตกต่างกัน โดย แฮร์ริสและไบเดนยังคงให้ความสำคัญในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้พลังงานฟอสซิล เพื่อลดโลกร้อน และสนับสนุนพลังงานสีเดียว แต่ทรัมป์ไม่สน มีหลายคนบอกว่า ทรัมป์ไม่สนใจเรื่อสนธิสัญญา Paris ที่ได้เซ็นต์กันไว้ตั้งแต่ปี 2015 แต่จะให้การสนับสนุนขุดเจาะน้ำมัน หาแหล่งน้ำมันจากฟอสซิล

เรื่องการต่างประเทศหากแฮร์ริส ได้เป็นประธานาธิบดีความตึงเครียดเรื่องสถานการณ์จีโอโพลิติกส์จะสูงและมีโอกาสที่จะเกิดสงครามได้ทุกเมื่อถ้ามีการกระทบกระทั่งกันหรือว่ามีน้ำผึ้งหยดเดียวที่ไม่ตั้งใจซึ่งจะนำไปสู่สงครามใหญ่หรือสงครามโลกได้ แต่กรณีทรัมป์ ประกาศชัดเจนเรื่องการต่างประเทศ เช้น นาโต้ ทรัมป์ ประกาศต่างคนต่างอยู่ และนาโต้อย่าหวังพึ่งสหรัฐ ทุกประเทศต้องเพิ่มงบการทหารอีก 3% ของงบป้องกันประเทศ ซึ่งตอนนี้กลุ่มประเทศนาโต้หรือกลุ่มอียูเศรษฐกิจไม่ดี เนื่องจากสงครามรัสเซียยูเครน เรื่องของไต้หวันเองทรัมป์ก็ประกาศว่าถ้าไต้หวันต้องการให้สหรัฐอเมริกาไปช่วยต้องจ่ายค่าคุ้มครองเพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะทำให้อุณหภูมิของสมรภูมิต่างๆน่าจะลดลง ยกเว้นสมรภูมิเดียวคือตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ทรัมป์ก็ยังคงสนับสนุนอิสราเอลเต็มที่


ส่วนผลที่จะเกิดกับประเทศไทย ที่ผ่านมาเราได้ตัวเลขการค้าขายมากขึ้น สิ่งที่เหมือนกันระหว่างโจ ไบเดนและทรัมป์คือเรื่อง Trade war และจีโอโพลิติกส์ ทั้ง 2 พรรคมองจีนเป็นคู่แข่งและศรัตรูอันดับหนึ่ง ฉะนั้นการขึ้นกำแพงภาษี การย้ายฐานการผลิตส่งผลดี สินค้าจากจีนจะถูกตั้งกำแพงสูง สหรัฐซื้อสินค้าจากจีนน้อยลง จะซื้อสินค้าจากประเทศอื่นรวมถึงไทยแทน ดังจะเห็นว่า 9 เดือนของปี 2567 ยอดการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น ฉะนั้นถ้าหากว่าทรัมป์มาสถานการณ์ก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่แต่อาจจะมีวิธีคิดแตกต่าง เมื่อครั้งที่ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 1 ได้ให้ความสำคัญกับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐมาก ว่าทำไมถึงได้ดุลการค้า รวมถึงประเทศไทยซึ่งขณะนั้นเราอยู่อันดับที่ 14 ทรัมป์ได้ตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศไทยได้ดุลการค้าเพราะเราบิดเบือนค่าเงินหรือไม่ หรือทำให้ค่าเงินอ่อนเกินไปหรือไม่ จึงได้มีมาตรการมาตรวจสอบ เพื่อลดความได้เปรียบ สิ่งเหล่านี้จะเกิดความเข้มข้นและจะเกิดการเจรจาจากพหุภาคีเดิมซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรรวมกันเป็นทวิภาคี เจรจาเป็นรายประเทศ ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์ เพียงแต่หากทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ประเทศไทยจะต้องมีลอบบี้ยิสต์ ในการเจราและวางนโยบายที่ชัดเจน เพราะว่าหากเป็นทรัมป์จะเป็นลักษณะหมูไปไก่มา แต่หากเป็นกมลา แฮริส มาก็จะยังดำเนินการเหมือนทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นเรายังมีโอกาสได้เปรียบทางด้านการค้าแต่ทางด้านการลงทุนอุตสาหกรรม ตอนนี้ในเรื่องจีโอโพลิสติกและมีผลกระทบโดยเฉพาะการตั้งกำแพงภาษีส่งของอเมริกาที่จะสูงขึ้นแล้วรวมถึงของยุโรปที่จะตามมา วันนี้สินค้าจากจีนที่เคยผลิตและส่งไปขายทั้งในอเมริกาและยุโรปต้องเป็นหลักทะลักจากกลับมาในอาเซียนผลกระทบก็เห็นแล้วตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งปีที่แล้วตนเองได้เคยบอกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรวม 46 กลุ่มมี 22 กลุ่มได้รับผลกระทบในเชิงลบยอดขายตกมาก จากสินค้าของจีนเข้ามา ปี 2566 เป็นปีแรกในรอบ 16 ปี จีนไม่ได้เปรียบสหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับ 1 เนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้าสกัดกั้นได้ผล จากที่จีนเคยส่งสินค้าไปยังอเมริกามูลค่า ห้าแสนกว่าล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2565 ลดลงไม่ถึง สี่แสนล้านเหนียญสหรัฐในปี 2565 ลดลงกว่า20% แต่ในขณะเดียวกันยอดเหล่านี้กลับมาโผล่ที่เอเชียตะวันออกเชียงใต้กลายเป็นว่าในปี 2566 คู่ค้าอันดับหนึ่งของจีนคืออาเซียน นั่นหมายความว่าอาเซียนรวมถึงไทยรับสินค้าจากประเทศจีนไปเต็มๆ และเมื่อดูรายประเทศจะพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ขาดดุลกับจีนมากที่สุดประเทศหนึ่งเราขาดดุลเพิ่มทุกปี เพียงเก้าเดือนของปี 2567 เรานำเข้าสินค้าจากจีนทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 20% อุตสาหกรรมของเราก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องจีโอโพลิติกส์ที่มากขึ้น แต่อุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ FDI เพราะเป็นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่จะเป็นยุคใหม่เรื่องของสินค้าที่เกี่ยวกับสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์เนี่ยก็จะเป็นอานิสงส์ที่ประเทศไทยได้รับมากขึ้น

สำหรับการลงทุนเก้าเดือนของปี 2567 บีโอไอประกาศว่า FDI หรือการลงทุนทางตรงจากหลายประเทศที่ย้ายฐานมาจากจีนประเทศไทยเราเติบโตขึ้นมีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมลงทุนเกือบ 2000 โครงการรวมมูลค่า 722,000 กว่าล้านบาทมากที่สุดในรอบ 10 ปี นี่คืออานิสงส์ที่ได้รับ ฉะนั้นก็จะมีสินค้าที่ถูกดิสรับจากสินค้าจีนที่เข้ามาจำนวนมาก ล่าในปี 2567 มีอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอีก 3 อุตสาหกรรมรวมเป็น 25 อุตสาหกรรม หากรัฐบาลไม่มีมาตรการที่ดีพอ อุตสาหกรรมของเราอาจจะได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นเป็น 30-35 อุตสาหกรรม

ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งหามาตรการป้องกันโดยด่วน ไม่เฉพาะสินค้าที่ถูกกฎหมาย เพราะยังมีสินค้าที่ไม่ถูกกฎหมายอีกมากมายในเมืองไทย ทำลาย SMEs ไทย ซึ่งต้องเร่งปกป้องสินค้าจากจีนไม่ให้เข้ามามากเกินไปและจะต้องรีบเร่งวางแผนหาตลาดสหรัฐเพิ่มมากขึ้น

“ในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาสงครามการค้าที่เกิดขึ้นผู้ได้รับผลประโยชน์ก็คือเซาท์อีสเอเชีย แต่ประเทศที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือเวียดนาม ในปี 2021-2023 เวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอีก 2.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่นำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 1.6แสนล้านเหรียญสหรัฐเมื่อหักลบกบนี่แล้วพบว่าการส่งออกเป็นบวกถึงเกือบ 1 แสนล้านเหรียญล้านสหรัฐ แต่ของไทยเราส่งไปอเมริกาเพิ่มขึ้นได้ แต่นำเข้าเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เมื่อหักลบแล้วพบว่าขาดดุล 2 หมื่นล้ายเหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่าประเทศไทยยังไม่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” นายเกรียงไกร กล่าว.-517.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

‘ฮุน เซน’ ไลฟ์สดกล่าวถึงปัญหาไทย-กัมพูชา

พนมเปญ 27 มิ.ย. – วันนี้นายฮุนเซน ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กแต่เช้า พูดถึงเรื่องปัญหาความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา สรุปประเด็นได้ดังนี้ 7. ประเด็นอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นายฮุน เซนกล่าวว่า เมื่อตอนที่เดินทางมาเยี่ยมนายทักษิณที่ประเทศไทย เห็นกับตาว่า เวลานายทักษิณจะถ่ายรูปด้วยกัน ต้องหยิบปลอกคอทางการแพทย์มาสวมก่อน พอถ่ายรูปเสร็จก็ถอดออก แล้วไปกินข้าวด้วยกันเป็นปกติ 8.นายฮุน เซนระบุว่า กัมพูชาจะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติดูหมิ่นกองทัพหรือผู้นำกองทัพ และนายฮุน เซน ถือว่าการกระทำของนางสาวแพทองธาร ต่อแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ถือเป็นการหมิ่นเบื้องสูง.-810.-สำนักข่าวไทย

เช็กโผ ครม.ล่าสุด นายกฯ นั่งควบ รมว.วัฒนธรรม

ทำเนียบฯ 27 มิ.ย. – คืบหน้า ครม.ใหม่ นายกฯ นั่งควบ รมว.วัฒนธรรม โยก “สุดาวรรณ” นั่ง รมว.อว. ขณะที่ หลานชาย สุริยะ “พงศ์กวิน” นั่ง รมว.แรงงาน ความคืบหน้าในการปรับคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ชุดใหม่ ล่าสุดมีรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว โดยโผ ครม.ล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดย น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะไปดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะไปดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ควบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจักรพงษ์ แสงมณี จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ […]

เร่งหาทอง 38 บาท หลังคนร้ายจบชีวิต หนีความผิด

ชลบุรี 27 มิ.ย. – คนร้ายบุกชิงทอง 38 บาท กลางห้างดังชลบุรี โดดคอนโด หนีความผิด หลังก่อเหตุ 2 ชม. ค้นบ้านเจอเอกสารทวงหนี้จำนวนมาก ตำรวจเร่งหาที่ซ่อนทอง ช่วงสายวานนี้ ประมาณ 09.30 น. เกิดเหตุคนร้าย เป็นชาย สวมเสื้อแขนยาวสวมหมวกใส่แมสก์ปิดบังใบหน้า เข้ามาใช้ปืนจี้พนักงานก่อเหตุชิงทอง ห้างทองภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง สาขาบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี ได้ทองรูปพรรณไปทั้งหมดรวม 38 บาท ซึ่งขณะหลบหนี ดาบตำรวจสมปอง ฟองดา ผบ.หมู่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 2 เห็นเหตุการณ์พอดี พยายามกระโดดขวางและเข้าชาร์จตัวผู้ก่อเหตุ จังหวะนั้นผู้ก่อเหตุ ได้ยิงเพื่อเปิดทางหนึ่งนัด กระสุนโดนหมวกกันน็อกดาบตำรวจสมปอง จนเป็นรู และสามารถแย่งปืนมาได้ แต่ไม่สามารถจับตัวได้ คนร้ายวิ่งหนีออกจากห้างไปอย่างรวดเร็วตำรวจในพื้นที่เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามเส้นทางหลบหนี แต่ผ่านไปเพียง 2 ชั่วโมง ประมาณ 11.30 น. ตำรวจ สภ.ดอนหัวฬ่อ ได้รับแจ้งคนตกจากคอนโดมีเนียม จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมกู้ภัย […]

พบระเบิดอีกที่หาดสุรินทร์

ภูเก็ต 27 มิ.ย.-พบระเบิดอีก 1 ชุดที่หาดสุรินทร์ จ.ภูเก็ต ชุด EOD เข้าทำลายแล้ว เร่งค้นหาว่ามีจุดวางระเบิดอีกหรือไม่ หลังคนร้ายรับสารภาพวางระเบิดไว้ที่หาดสุรินทร์ 2 จุด ภายหลังจากตำรวจจับผู้ต้องหาลอบวางระเบิดสถานที่ท่องเที่ยวทั้งที่จังหวัดภูเก็ตและกระบี่ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ยังได้วางระเบิดไว้ที่หาดสุรินทร์ 2 จุด คือที่บริเวณหาดสุรินทร์ ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ใกล้กับสถานที่กำลังก่อสร้าง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ชุด EOD ตำรวจภูธรภาค 8 ชุดสืบสวนภาค 8 ชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชิงทะเล เจ้าหน้าที่ อบต.เชิงทะเล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณหาดสุรินทร์ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือสแกนหาวัตถุต้องสงสัย และเครื่องตรวจจับโลหะ และตรวจพบวัตถุต้องสงสัย 1 ชุด ถูกฝังไว้ใต้ต้นไม้ ใกล้ห้องน้ำ บริเวณที่กำลังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์หาดสุรินทร์ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง และเจ้าหน้าที่ EOD ใช้ยุทธวิธีในการทำลาย อย่างไรก็ตามขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังค้นหาว่าจะมีจุดวางระเบิดอีกหรือไม่ เพราะจากคำสารภาพของผู้ต้องหา ระบุว่า มีการนำวัตถุต้องสงสัยมาวางไว้ […]

ข่าวแนะนำ

น้องสาว ผกก.โจ้ วอนตำรวจช่วยไขปริศนาการตายของพี่ชาย

กทม. 29 มิ.ย.-น้องสาวผู้กำกับโจ้ วอนตำรวจช่วยไขปริศนาการเสียชีวิตของพี่ชายและเร่งทำคดีเพื่อให้ครอบครัวได้รับความเป็นธรรม หลังผ่านมานาน 4 เดือนคดียังไม่คืบ ส่วนบรรยากาศฌาปนกิจวันนี้ เป็นไปด้วยความโศกเศร้า เวลา 15.30 น. พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีฌาปนกิจศพ นายธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ที่วัดพระศรีมหาธาตุวรลักษณ์มหาวิหาร หลังเก็บศพมานานกว่า 4 เดือน บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างโศกเศร้าของบุคคลในครอบครัว ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่น ตลอดจนอดีตผู้บังคับบัญชาอย่างพลตำรวจโทสมหมาย กองวิสัยสุข อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดหรือ ป.ส. และผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าที่สนิทสนม ได้เดินทางมาร่วมในพิธีฌาปนกิจวันนี้ด้วย ขณะที่ นางสาวศรัญญา อุทธนผล อายุ 34 ปี น้องสาวของผู้กำกับโจ้ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีดังกล่าวว่า หลังจากตนพร้อมแฟนสาวของผู้กำกับโจ้ เดินทางยื่นคำร้องขอให้ DSI รับคดีการเสียชีวิตของพี่ชายเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากติดใจสาเหตุการการตายของพี่ชาย จนถึงขณะนี้นาน 4 เดือนแล้ว คดียังไม่คืบหน้า ซึ่งล่าสุดวันนี้ พ.ต.อ.ทวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แจ้งกับตนว่า คดีนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจในการดำเนินคดี ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน […]

เพลิงไหม้หอพักพยาบาล รพ.ศิริราช

กทม. 29 มิ.ย. – เพลิงไหม้ภายในหอพักพยาบาล รพ.ศิริราช เจ้าหน้าที่คุมเพลิงได้แล้ว ช่วยผู้ติดค้างออกมาได้อย่างปลอดภัย วันที่ 29 มิถุนายน 2568 เวลา 12.30 น. รับแจ้งจากศูนย์วิทยุร่วมไทร เหตุเพลิงไหม้ภายในหอพักพยาบาล (แปดไร่) โรงพยาบาลศิริราช ถนนรถไฟ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยบางขุนนนท์ สปภ.กทม. ถึงที่เกิดเหตุ พบกลุ่มควันจำนวนมากบริเวณชั้นใต้ดิน จึงทำการตรวจสอบและอพยพผู้ที่ติดค้างด้านบนลงมา เวลา 12.55 น. พบจุดต้นเพลิงบริเวณชั้นใต้ดิน เจ้าหน้าที่ดำเนินการใช้น้ำทำการดับ มีผู้ติดค้างภายในลิฟต์ชั้นที่ 12 เจ้าหน้าที่และช่างลิฟต์ประจำอาคาร ได้ทำการช่วยเหลือออกมาได้อย่างปลอดภัย เวลา 13.04 น. เพลิงสงบ .-สำนักข่าวไทย

กองกำลังบูรพา ผ่อนผันให้รถขนส่งสินค้าผ่านแดน

29 มิ.ย.- กองกำลังบูรพา ผ่อนผันให้รถขนส่งสินค้า ผ่านเข้า-ออก 3 ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจำกัดเวลา-จำนวนคัน เริ่มวันนี้ (29 มิ.ย.) และให้แล้วเสร็จใน 7 วัน ลดผลกระทบความเดือดร้อนของประชาชนตามหลักมนุษยธรรม กองกำลังบูรพา ออกประกาศ เรื่อง การควบคุมด่านชายแดนไทย-กัมพูชา 1. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาตรวจราชการ และประชุมหารือประเด็นผลกระทบมาตรการการควบคุมด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 โดยให้หน่วยงานความมั่นคง ประชุมหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการควบคุมชายแดน และที่ประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ได้มีมติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ให้มีการผ่อนผันให้รถขนส่งสินค้าไทยที่ตกค้าง และรถขนส่งสินค้าตามใบขนสินค้าขาออก หรือใบขนสินค้าผ่านแดน ที่ได้ส่งข้อมูลเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร ก่อนวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ข้ามไปยังกัมพูชาและกลับเข้ามายังราชอาณาจักรไทย 2. เพื่อเป็นการลดผลกระทบความเดือดร้อนของประชาชนตามหลักมนุษยธรรม และเพื่อให้การปฏิบัติการควบคุมสอดคล้องกับการดำเนินการตามข้อ 1 กองกำลังบูรพา จึงขอประสานให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้2.1 ให้ผ่านเข้า-ออก ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท ได้วันละไม่เกิน […]

นายกฯ นำรายชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว

เพื่อไทย 29 มิ.ย. – โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยนายกฯ นำชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว รอหารือที่ประชุมพรรค 3 ก.ค.นี้ หลังมี สส.อีสาน ทวงเก้าอี้รองประธานสภาฯ คนที่ 2 นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสำคัญ ทราบว่าทางทำเนียบรัฐบาลได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว ขอให้รอขั้นตอนต่อไปว่าจะมีการโปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อใด ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่า สส.ภาคอีสานพรรคเพื่อไทยทวงโควตาเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 หลังผิดหวังจากโผ ครม. นายดนุพร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกัน ซึ่งในการปรับคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง ทุกพรรคมีแรงกระเพื่อมหมด ซึ่งแน่นอนว่ามีคนอยากเข้าไปทำงานเป็นเรื่องปกติ โดยในวันที่ 2 ก.ค.นี้ จะมีการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 3 ก.ค. จะมีการพูดคุยถึงขั้นตอนหลายๆ อย่าง ส่วนเรื่องการเลือกรองประธานสภาฯ คนใหม่ ได้รับแจ้งว่าน่าจะก่อนวันที่ 15 ก.ค. ส่วนพรรคเพื่อไทยจะส่งใครเป็นตัวแทน […]