เอกชนจับตาเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐ ชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก

นครราชสีมา 2 พ.ย.-เอกชนจับตาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี ไทยก็ได้ประโยชน์จาก Trade war หากเป็น “แฮร์ริส” ทุกอย่างจะยังคงเดิม แต่หากเป็น “ทรัมป์” การกีดกันการค้าจะรุนแรงมากขึ้น แนะไทยต้องมีลอบบี้ยิสต์ ในการเจรจาและวางนโยบายที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ปัญหาสินค้าจีนทะลักกระทบผู้ประกอบการไทยจะรุนแรงขึ้น วอนรัฐบาลเร่งหามาตรการป้องกันแก้ไข

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เชื่อว่าทุกฝ่ายจับตาว่าใครจะได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ และเป็นอันดับหนึ่งทุกด้านของโลก ระหว่างนายโดนัล ทรัมป์ และนางกัมลา แฮร์ริส ซึ่งนโยบายของทั้งสองคนมีความแตกต่าง และไม่ว่าใครจะได้รับคัดเลือกก็ต้องส่งผลไปทั่วโลกรวมถึงไทย ในช่วงที่โดนัล ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสมัยที่หนึ่ง ก็เกิดผลกระทบเมื่อเกิด Trade war โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทำให้ต้องเกิดการปรับตัวขนาดใหญ่ เช่น ปี 2562 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐอันดับ 14 แต่ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งก็ดำเนินการเรื่อง Trade war จีนเช่นเดียวกันส่งผลให้ 9 เดือนของปี 2567 ประเทศไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้น 10% และเลื่อนขึ้นมาเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐอันดับที่ 12


ฉะนั้นหมายความว่าภายใต้ Trade war ของทั้งสองนโยบายของ 2 ผู้นำจากต่างพรรค ประเทศไทยยังได้ประโยชน์ทางด้านการค้า ทั้งสองนโยบายเหมือนกันคือเรื่อง Trade war และการมองจีนเป็นศัตรูหมายเลข1 ฉะนั้นมาตรการต่างๆก็จะเหมือนกันแต่มิติความรุนแรงจะแตกต่างกันโดยปัจจุบันทางด้านการค้าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ขึ้นภาษีรถยนต์อีวีเช่นรถยนต์อีวี ที่นำเข้าจากจีนจากเดิม 25% ขึ้นไปอีก 75% รวมเป็น 100% และจะมีการเรียกเก็บภาษีที่ผ่านมาในเดือนพฤษภาคม 18,000 ล้านเหรียญในอุตสาหกรรมนำเข้าจากจีนโดยเฉพาะพลังงานสะอาด แผงโซล่า แต่หากเป็นโดนัล ทรัมป์ จะมีความรุนแรงขึ้น คือจะมีการขึ้นภาษีจากทุกประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ อย่างน้อย 10 ถึง 20% แต่กับจีนจะให้เป็นพิเศษคือจะเพิ่ม 60 ถึง 100% จะเห็นว่านโยบายมีความรุนแรงขึ้นซึ่งหากเป็น โดนัล ทรัมป์ ก็จะบอกว่าMake America great again ซึ่ง จะมอง เรื่อง ดุลการค้าและความมั่นคงสูงเป็นพิเศษ

ส่วนนโยบายเรื่องการลงทุนหาก นางกมลา แฮร์ริสได้รับชัยชนะก็จะดำเนินนโยบายเช่นเดียวกับ โจ ไบเดน คือเพิ่มการเก็บภาษีจากปัจจุบัน 21% เป็น 28% แต่หากเป็นทรัมป์จะส่งเสริมการลงทุนในประเทศให้กลับมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคทั้งหลายเพื่อการจ้างงาน สร้างจีดีพี โดยจะมีนโยบายลดภาษีนิติบุคคล 15% จาก


ส่วนเรื่องการกีดกันเทคโนโลยี ทรัมป์จะมีความรุนแรงกว่าโจ ไบเดน ซึ่งหาก แฮร์ริส มาก็คงดำเนินการเหมือนเดิมเช่นการออกกฏหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งก็คือการที่จะไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงหรือขายเทคโนโลยีเหล่านี้ไปยังประเทศที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งหมายถึง จีน จะเห็นว่ามาตรการนี้เข้มข้น เพราะเกรงว่า จีนจะได้ชิปที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงหรือว่าขนาดเล็กตอนนี้ก็มีการกีดกันทุกอย่างกระทั่งการขอความร่วมมือจากประเทศเนเธอร์แลนด์ บริษัทASML ผู้ผลิตเครื่องผลิตชิปรายเดียวของโลก ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ก็คือประเทศจีน เพราะว่ากลัวว่าจีนจะไปผลิตชิปชั้นสูงแข่งกับอเมริกา ส่วนทรัมป์ ก็บอกว่า จะไม่ให้จีนลงทุนในเทคโนโลยี สาธารณูปโภค รวมถึงพลังงาน

ส่วนมิติปัญหาเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ทั้ง 2 พรรค มีความแตกต่างกัน โดย แฮร์ริสและไบเดนยังคงให้ความสำคัญในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้พลังงานฟอสซิล เพื่อลดโลกร้อน และสนับสนุนพลังงานสีเดียว แต่ทรัมป์ไม่สน มีหลายคนบอกว่า ทรัมป์ไม่สนใจเรื่อสนธิสัญญา Paris ที่ได้เซ็นต์กันไว้ตั้งแต่ปี 2015 แต่จะให้การสนับสนุนขุดเจาะน้ำมัน หาแหล่งน้ำมันจากฟอสซิล

เรื่องการต่างประเทศหากแฮร์ริส ได้เป็นประธานาธิบดีความตึงเครียดเรื่องสถานการณ์จีโอโพลิติกส์จะสูงและมีโอกาสที่จะเกิดสงครามได้ทุกเมื่อถ้ามีการกระทบกระทั่งกันหรือว่ามีน้ำผึ้งหยดเดียวที่ไม่ตั้งใจซึ่งจะนำไปสู่สงครามใหญ่หรือสงครามโลกได้ แต่กรณีทรัมป์ ประกาศชัดเจนเรื่องการต่างประเทศ เช้น นาโต้ ทรัมป์ ประกาศต่างคนต่างอยู่ และนาโต้อย่าหวังพึ่งสหรัฐ ทุกประเทศต้องเพิ่มงบการทหารอีก 3% ของงบป้องกันประเทศ ซึ่งตอนนี้กลุ่มประเทศนาโต้หรือกลุ่มอียูเศรษฐกิจไม่ดี เนื่องจากสงครามรัสเซียยูเครน เรื่องของไต้หวันเองทรัมป์ก็ประกาศว่าถ้าไต้หวันต้องการให้สหรัฐอเมริกาไปช่วยต้องจ่ายค่าคุ้มครองเพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะทำให้อุณหภูมิของสมรภูมิต่างๆน่าจะลดลง ยกเว้นสมรภูมิเดียวคือตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ทรัมป์ก็ยังคงสนับสนุนอิสราเอลเต็มที่


ส่วนผลที่จะเกิดกับประเทศไทย ที่ผ่านมาเราได้ตัวเลขการค้าขายมากขึ้น สิ่งที่เหมือนกันระหว่างโจ ไบเดนและทรัมป์คือเรื่อง Trade war และจีโอโพลิติกส์ ทั้ง 2 พรรคมองจีนเป็นคู่แข่งและศรัตรูอันดับหนึ่ง ฉะนั้นการขึ้นกำแพงภาษี การย้ายฐานการผลิตส่งผลดี สินค้าจากจีนจะถูกตั้งกำแพงสูง สหรัฐซื้อสินค้าจากจีนน้อยลง จะซื้อสินค้าจากประเทศอื่นรวมถึงไทยแทน ดังจะเห็นว่า 9 เดือนของปี 2567 ยอดการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น ฉะนั้นถ้าหากว่าทรัมป์มาสถานการณ์ก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่แต่อาจจะมีวิธีคิดแตกต่าง เมื่อครั้งที่ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 1 ได้ให้ความสำคัญกับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐมาก ว่าทำไมถึงได้ดุลการค้า รวมถึงประเทศไทยซึ่งขณะนั้นเราอยู่อันดับที่ 14 ทรัมป์ได้ตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศไทยได้ดุลการค้าเพราะเราบิดเบือนค่าเงินหรือไม่ หรือทำให้ค่าเงินอ่อนเกินไปหรือไม่ จึงได้มีมาตรการมาตรวจสอบ เพื่อลดความได้เปรียบ สิ่งเหล่านี้จะเกิดความเข้มข้นและจะเกิดการเจรจาจากพหุภาคีเดิมซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรรวมกันเป็นทวิภาคี เจรจาเป็นรายประเทศ ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์ เพียงแต่หากทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ประเทศไทยจะต้องมีลอบบี้ยิสต์ ในการเจราและวางนโยบายที่ชัดเจน เพราะว่าหากเป็นทรัมป์จะเป็นลักษณะหมูไปไก่มา แต่หากเป็นกมลา แฮริส มาก็จะยังดำเนินการเหมือนทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นเรายังมีโอกาสได้เปรียบทางด้านการค้าแต่ทางด้านการลงทุนอุตสาหกรรม ตอนนี้ในเรื่องจีโอโพลิสติกและมีผลกระทบโดยเฉพาะการตั้งกำแพงภาษีส่งของอเมริกาที่จะสูงขึ้นแล้วรวมถึงของยุโรปที่จะตามมา วันนี้สินค้าจากจีนที่เคยผลิตและส่งไปขายทั้งในอเมริกาและยุโรปต้องเป็นหลักทะลักจากกลับมาในอาเซียนผลกระทบก็เห็นแล้วตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งปีที่แล้วตนเองได้เคยบอกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรวม 46 กลุ่มมี 22 กลุ่มได้รับผลกระทบในเชิงลบยอดขายตกมาก จากสินค้าของจีนเข้ามา ปี 2566 เป็นปีแรกในรอบ 16 ปี จีนไม่ได้เปรียบสหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับ 1 เนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้าสกัดกั้นได้ผล จากที่จีนเคยส่งสินค้าไปยังอเมริกามูลค่า ห้าแสนกว่าล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2565 ลดลงไม่ถึง สี่แสนล้านเหนียญสหรัฐในปี 2565 ลดลงกว่า20% แต่ในขณะเดียวกันยอดเหล่านี้กลับมาโผล่ที่เอเชียตะวันออกเชียงใต้กลายเป็นว่าในปี 2566 คู่ค้าอันดับหนึ่งของจีนคืออาเซียน นั่นหมายความว่าอาเซียนรวมถึงไทยรับสินค้าจากประเทศจีนไปเต็มๆ และเมื่อดูรายประเทศจะพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ขาดดุลกับจีนมากที่สุดประเทศหนึ่งเราขาดดุลเพิ่มทุกปี เพียงเก้าเดือนของปี 2567 เรานำเข้าสินค้าจากจีนทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 20% อุตสาหกรรมของเราก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องจีโอโพลิติกส์ที่มากขึ้น แต่อุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ FDI เพราะเป็นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่จะเป็นยุคใหม่เรื่องของสินค้าที่เกี่ยวกับสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์เนี่ยก็จะเป็นอานิสงส์ที่ประเทศไทยได้รับมากขึ้น

สำหรับการลงทุนเก้าเดือนของปี 2567 บีโอไอประกาศว่า FDI หรือการลงทุนทางตรงจากหลายประเทศที่ย้ายฐานมาจากจีนประเทศไทยเราเติบโตขึ้นมีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมลงทุนเกือบ 2000 โครงการรวมมูลค่า 722,000 กว่าล้านบาทมากที่สุดในรอบ 10 ปี นี่คืออานิสงส์ที่ได้รับ ฉะนั้นก็จะมีสินค้าที่ถูกดิสรับจากสินค้าจีนที่เข้ามาจำนวนมาก ล่าในปี 2567 มีอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอีก 3 อุตสาหกรรมรวมเป็น 25 อุตสาหกรรม หากรัฐบาลไม่มีมาตรการที่ดีพอ อุตสาหกรรมของเราอาจจะได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นเป็น 30-35 อุตสาหกรรม

ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งหามาตรการป้องกันโดยด่วน ไม่เฉพาะสินค้าที่ถูกกฎหมาย เพราะยังมีสินค้าที่ไม่ถูกกฎหมายอีกมากมายในเมืองไทย ทำลาย SMEs ไทย ซึ่งต้องเร่งปกป้องสินค้าจากจีนไม่ให้เข้ามามากเกินไปและจะต้องรีบเร่งวางแผนหาตลาดสหรัฐเพิ่มมากขึ้น

“ในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาสงครามการค้าที่เกิดขึ้นผู้ได้รับผลประโยชน์ก็คือเซาท์อีสเอเชีย แต่ประเทศที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือเวียดนาม ในปี 2021-2023 เวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอีก 2.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่นำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 1.6แสนล้านเหรียญสหรัฐเมื่อหักลบกบนี่แล้วพบว่าการส่งออกเป็นบวกถึงเกือบ 1 แสนล้านเหรียญล้านสหรัฐ แต่ของไทยเราส่งไปอเมริกาเพิ่มขึ้นได้ แต่นำเข้าเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เมื่อหักลบแล้วพบว่าขาดดุล 2 หมื่นล้ายเหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่าประเทศไทยยังไม่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” นายเกรียงไกร กล่าว.-517.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สมุทรปราการอ่วม! ปิด 25 โรงเรียนหนีน้ำท่วม

สมุทรปราการ 8 ก.ย.- สมุทรปราการอ่วม! ระดับน้ำยังท่วมสูง หลังฝนตกหนักทั้งคืน ด้าน สพท. สั่งปิดแล้ว 25 โรงเรียน ปรับให้สอนแบบออนไลน์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือ สพท. สั่งปิด 25 โรงเรียนจังหวัดสมุทรปราการ 1 วัน พร้อมปรับการเรียนเป็นแบบออนไลน์ เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและผู้ปกครอง หลังฝนตกหนักทั้งคืน ถนนสายสำคัญหลายเส้นถูกน้ำท่วม บางแห่งสูงกว่า 30 เซนติเมตร รวมถึงตรอกซอกซอยต่าง ๆ โดยบางพื้นที่น้ำได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ขณะเดียวกันหลายจุดยังคงมีน้ำท่วมขัง ระบายออกไม่ได้ เนื่องจากระดับน้ำในคลองสายหลักสูง ประกอบกับน้ำทะเลหนุน เจ้าหน้าที่เร่งระบายน้ำ หากฝนไม่ตกลงมาซ้ำ คาดว่าบ่ายวันนี้สถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ทั้งนี้ มีรายงานว่าเกิดเหตุ หนุ่มวัย 17 ปี เข็นรถจักรยานยนต์ฝ่าน้ำ ถูกไฟรั่วจากแบริเออร์ก่อสร้างบนถนนแพรกษา ช็อตเสียชีวิตต่อหน้าเพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่เร่งสอบหาสาเหตุและป้องกันเหตุซ้ำ -สำนักข่าวไทย

ศาลสั่งจำคุก 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา “สส.ลูกเกด” คดี ม.112

กรุงเทพฯ 8 ก.ย. – ศาลสั่งจำคุก 4 ปี “ลูกเกด ชลธิชา” สส.ประชาชน คดี ม.112 คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือ 2 ปี 8 เดือน ส่าสุดศาลให้กันประกันตัวแล้ว กำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาต วันนี้ ( 8 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณา 901 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำ อ.595/65 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ฟ้อง น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด สส.พรรคประชาชน จ.ปทุมธานี เป็นจำเลยในความผิด ดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 , พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ ม.4 (3) จากกรณีเมื่อวันที่ 8 พ.ย.63 จำเลยได้โพสต์ข้อความ ลงในเฟซบุ๊กตัวเอง เกี่ยวกับราษฎรสาส์น […]

รื้อทั้งยวง! โผ ครม.อนุทิน 1 เหตุ “ธรรมนัส” คุมท่องเที่ยว ภท.ต้องเกลี่ยใหม่

กรุงเทพฯ 7 ก.ย. – โผ ครม. “อนุทิน 1” รื้อทั้งยวง หลัง “ธรรมนัส” คุมท่องเที่ยว ทำภูมิใจไทยต้องเกลี่ยใหม่ “ไชยชนก” ดีอี “ซาบีดา” วัฒนธรรม รอเปิดคนนอก “กลาโหม-ยุติธรรม” แว่วพลตำรวจโท อดีตรองผู้การภาค 3 ติดโผ จับตา “ศักดิ์ดา” ร่วมด้วย​ ด้าน “นิพนธ์” จ่อดันลูกสาวเป็นรัฐมนตรีป้ายแดง เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโผ ครม.ล่าสุด พรรคภูมิใจไทยจะได้เก้าอี้รัฐมนตรีส่วนใหญ่ประมาณ 12 ที่นั่ง โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นั่งนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค จะนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล […]

ชัยภูมิน้ำท่วมหนัก หลังฝนตกตลอดคืน

ชัยภูมิ 7 ก.ย.-น้ำท่วมหนักใน 3 อำเภอของจังหวัดชัยภูมิ หลังฝนตกหนักตลอดทั้งคืน สภาพภายในวัดดอนไผ่ ริมถนนชัยภูมิ-นครสวรรค์ อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (7 ก.ย.) หลังพายุฝนกระหน่ำตลอดทั้งคืน ระดับน้ำท่วมสูง 50 เซนติเมตร พระสงฆ์ต้องอพยพหนีน้ำท่วมไปฉันอาหารอยู่บนที่สูง ขณะนี้ระดับน้ำยังไม่ลดลง นอกจากนี้ ยังเกิดน้ำท่วมใน 3 อำเภอ คือ อำเภอเมือง ย่านเศรษฐกิจในตัวอำเภอแก้งคร้อ และอำเภอบ้านเขว้า น้ำป่าสีแดงขุ่นไหลเข้าท่วมถนนสาย 225 ชัยภูมิ-นครสวรรค์ รวมถึงร้านค้า บ้านเรือนประชาชน โดยเฉพาะที่วัดกลางโนนแดง และวัดดอนไผ่ สาเหตุมาจากกรมทางหลวงก่อสร้างถนน 4 เลน ตัดผ่านบ้านโนนแดง ต.โนนแดง อ.บ้านเขว้า ทำให้น้ำป่าที่ไหลมาจากเขาภูแลนคา ไม่สามารถไหลไปลงแม่น้ำชีได้.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“3 สส.” บัญชีรายชื่อใหม่ รายงานตัวต่อสภาแล้ว

รัฐสภา 10 ก.ย.- “3 สส.” บัญชีรายชื่อใหม่ “ทิพานัน-พล.ต.อ.อัศวิน-รุ่งเรือง” รายงานตัวต่อสภาแล้ว พร้อมผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประเทศ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้ารายงานตัวต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตามประกาศสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากนายสุชาติ ชมกลิ่น ได้มีหนังสือขอลาออกจากการเป็น สส.บัญชีรายชื่อ ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2568 เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของนายสุชาติ สิ้นสุดลง จึงประกาศให้ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติ เลื่อนขึ้นมาเป็น สส. แทน โดย น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การเป็น สส. คือผู้แทนของประชาชน วันนี้เป็นอีกก้าวหนึ่งที่ได้เป็นตัวแทนในการทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งการมีกฎหมายที่ถูกต้องชัดเจนเป็นเรื่องที่ดี และจะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด ทั้งนี้มีกฎหมายที่ต้องอยากขับเคลื่อนโดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน รวมถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น เรื่องอากาศที่มีผลกระทบกับคนไทย นอกจากนี้ยังมี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ารายงานตัวต่อสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากนายธนกร วังบุญคงชนะ ได้มีหนังสือขอลาออกจากการเป็น สส.บัญชีรายชื่อ ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2568 เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของนายธนกร […]

จับตา! ประชุม GBC “ไทย-กัมพูชา” ที่เกาะกง

10 ก.ย.- “ไทย-กัมพูชา” เปิดโต๊ะเจรจา GBC สมัยพิเศษ ที่จังหวัดเกาะกง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะผู้แทนระดับสูง ร่วมหารือสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง ลดความตึงเครียด และเดินหน้ามาตรการสร้างสันติสุขชายแดน พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และว่าที่รัฐมนตรีกลาโหม นำคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย–กัมพูชา หรือ GBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 โดยมี คณะผู้แทนประกอบด้วย พลเอก ธราพงษ์ มะละคำ รองปลัดกระทรวงกลาโหม, พลอากาศเอก นนทรี อินทรสาลี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด, นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านกิจการความมั่นคงภายใน, นายวรณัฐ คงเมือง รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, พลเอก กันตพจน์ เศรษฐารัศมี ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม, พลเอก ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก, พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ และพลอากาศเอก วชิระพล […]

อุตุฯ เตือนไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 70%

กรุงเทพฯ 10 ก.ย. – กรมอุตุฯ เตือนไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 70% และมีฝนตกหนักบางแห่ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส.-สำนักข่าวไทย

กระบะส่งน้ำพุ่งชนเสาไฟล้ม 24 ต้น ทำไฟไหม้ร้านอาหาร บ้าน-ร้านค้าพัง

เชียงใหม่ 8 ก.ย.-วินาศสันตะโร กระบะส่งน้ำพุ่งชนเสาไฟฟ้าล้ม 24 ต้น บนถนนหนองฮ่อ อ.เมืองเชียงใหม่ ทำให้ไฟไหม้ร้านอาหาร บ้าน-ร้านค้ากว่า 10 หลัง พังเสียหาย ส่วนรถเสียหายนับสิบคัน ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง อุบัติเหตุเกิดขึ้นช่วงบ่ายที่ผ่านมา หลังรถกระบะบรรทุกน้ำดื่มเอกชนพุ่งชนเสาไฟฟ้าบนถนนหนองฮ่อ ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ ก่อนถึง สภ.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ ประมาณ 300 เมตร โดยรถกระบะได้พุ่งชนเสาไฟฟ้าจนหักโค่นลงมา ก่อนที่รถจะเกี่ยวเข้ากับสายไฟลากไปอีกหลายสิบเมตร ทำให้สายไฟถูกดึงจนทำให้เสาไฟฟ้าโค่นล้มต่อๆ กันลงมาขวางถนนรวมแล้วกว่า 24 ต้น เสาไฟกิ่งเสียหาย 25 ต้น ทับบ้านเรือนประชาชนและร้านค้าพังเสียหายกว่า 10 หลัง และยังมีรถยนต์ที่จอดไว้ในบ้าน ริมถนน และที่ขับผ่านมา ถูกทับเสียหายเบื้องต้นมากกว่า 10 คัน นอกจากนี้สายไฟฟ้าที่ถูกดึงจนขาดยังทำให้เกิดเพลิงไหม้ร้านอาหารบริเวณดังกล่าวจนวอดเสียหายเกือบทั้งหมด อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างและสร้างความแตกตื่นตกใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก ขณะที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัยเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถกระบะสีขาว เป็นรถขนส่งน้ำดื่มอยู่ในสภาพด้านหน้าพังยับ ถังน้ำดื่มตกเกลื่อน พบผู้บาดเจ็บเป็นชาย 2 คน เป็นพนักงานขับรถและคนงานที่นั่งมาด้วย เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันนำออกมาจากรถนำส่งโรงพยาบาล โดยพนักงานที่นั่งมาด้วยบาดเจ็บสาหัสเจ้าหน้าที่ต้องปั๊มหัวใจก่อนเร่งนำส่งโรงพยาบาล […]