กรุงเทพฯ 19 พ.ค.-ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. เสริมแกร่งพลังงานไทย สร้างความมั่นคง พร้อมสู่ธุรกิจใหม่เพื่อเป้าหมาย เดินตามแผน NET ZERO คาดปีนี้ไทยนำเข้าแอลเอ็นจีตลาดจร (สปอต)เพิ่มเป็น 100 ลำเรือ ราคาแอลเอ็นจีดิ่งเป็นผลดีต่อต้นทุนค่าไฟฟ้า
นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียม ขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. ประกอบด้วย ธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง ได้แก่ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและสายงานกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย รวมถึง ธุรกิจที่ ปตท. ลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก มีผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2566 คิดเป็น 31% ของกำไรสุทธิของ ปตท. หรือ 8,748 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานตามพันธกิจหลักและก้าวสู่ธุรกิจใหม่ตามวิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond พร้อมเติบโตในธุรกิจพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) โดยในช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นอันเป็นผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
“กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท.ได้ร่วมลดผลกระทบแก่ประชาชน และบริหารจัดการเพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ทั้งจัดหา LNG แบบSPOT ในช่วงเวลาเร่งด่วน จัดหาและสำรองน้ำมันดิบในภาวะการขาดแคลนทั่วโลก รวมถึงการบริหารต้นทุนพลังงาน ปรับการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมัน มีการจัดหาดีเซลทดแทนแอลเอ็นจีในช่วงเวลาที่เหมาะสม และปีนี้มีการจัดหาแอลเอ็นจีล็อกสัญญาล่วงหน้าที่ราคาต่ำตามนโยบายกระทรวงพลังงานเพื่อร่วมทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำลงอีกด้วย” นายนพดล กล่าว
นายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. กล่าวว่าปีนี้ราคาแอลเอ็นจีลดต่ำลงมาก ราคาสปอตช่วงนี้อยู่ที่ประมาณ 9 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู จากที่ปีที่แล้วบางช่วงราคาสปอตสูงถึง80 เหรียญ/ล้านบีทียู และคาดว่าจนถึงปลายปีราคาอาจจะอยู่ที่ราว15-20เหรียญ/ล้านบีทียู ซึ่งปีนี้ราคาต่ำลงส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มสภาพยุโรป (อียู) มีการสำรองแอลเอ็นจีไว้สูง ทำให้ในตลาดมีปริมาณที่เกินความต้องการ โดยปีนี้ปตท.ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้นำเข้าแอลเอ็นจีสปอตแล้ว 60 ลำเรือ หรือรวม 4 ล้านตัน จากที่ปีที่แล้วนำเข้าประมาณ 53 ลำเรือ หรือราว 3.3 ล้านตัน แต่หากพิจารณาจากการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้นเนื่องจากทั้งอากาศร้อน ปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น รวมไปถึงราคาแอลเอ็นจีต่ำลงไม่ต้องใช้ดีเซลทดแทน ก็คาดว่ารวมๆแล้วปีนี้ อาจต้องนำเข้าแอลเอ็นจีสปอตถึง 100 ลำเรือ
“บทบาทของหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท.ที่ขยายเครือข่ายทางการค้าให้ครอบคลุมทั่วโลก เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด และนำรายได้เข้าประเทศ รวมถึงการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ นับเป็นการตอบโจทย์โลกพลังงานที่กำลังจะเปลี่ยนไปในอนาคต และที่สำคัญยังทำให้ได้ดีลตกลงด้านราคาพลังงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน”นายพงษ์พันธุ์กล่าว
นายพงษ์พันธุ์ ระบุว่า หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ มีสำนักงานการค้าอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของทุกภูมิภาคทั่วโลก และคาดว่าปีนี้จะมีการปริมาณการค้าเพิ่มขึ้น โดยในปี 2565 มีปริมาณการค้ารวมมากกว่า 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ครอบคลุมมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก และมีการจัดหาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของประเทศ นอกจากนี้ ยังแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อาทิ การเข้าสู่ตลาด Carbon Credit Trading และการค้าเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) เป็นต้น ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกลุ่ม ปตท. และประเทศไทยเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ตามที่กำหนดไว้
นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย เปิดเผยว่าปตท. ได้ดำเนินกลยุทธ์การดำเนินงานผ่านความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจเดิม (Hydrocarbon based) และเป็นฐานต่อยอดธุรกิจใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (Advance Materials & Specialty Chemicals) ที่สอดคล้องกับการเติบโตตามกระแสโลก โดยสามารถเชื่อมโยงและเติมเต็มห่วงโซ่อุปทาน(Value Chain) ธุรกิจใหม่ ของกลุ่ม ปตท. รวมถึงเพิ่มสัดส่วนธุรกิจคาร์บอนต่ำและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงานนอกจากนั้น ยังมีการนำเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือช่วยเสริมการบริหารจัดการเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจให้แก่ภาครัฐ อาทิ การใช้ระบบดิจิทัลมาวางแผนการผลิตน้ำมันในประเทศด้วยระบบดิจิทัล ผ่าน Hydrocarbon Value Chain Collaboration Center รวมถึงเครื่องมือในการบริหารจัดการทางเลือกใช้เชื้อเพลิงของประเทศในภาวะราคาพลังงาน ผันผวน เป็นต้น
ด้านกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รองรับสภาวการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สายงานกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. ได้ผนึกพลังร่วมภายในกลุ่ม กำหนดแผนธุรกิจใหม่ภายใต้ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย การก้าวเข้าสู่ธุรกิจด้านการบริหารจัดการน้ำ (Water Management Business) รวมถึงแผนธุรกิจเพื่อสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero Emissions ของกลุ่ม ปตท. อาทิ เตรียมการเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพอย่างยั่งยืน(Sustainable Aviation Fuel – SAF) ผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในเครื่องบิน ผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการลงทุนในธุรกิจที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ(Decarbonization) เป็นต้น
“ธุรกิจใหม่ในปี65 มีสัดส่วน 15% ของอีบิด้า ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 30 % ของอีบิทด้าในปี 73 มีการเจรจาร่วมมือกับพันธมิตร ในหลายธุริจ โดยในส่วนของน้ำเบื้อต้นจะเน้นในภาคตะวัน ร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ศึกษาว่าจะทำอย่างไรให้น้ำไม่ขาดแคลนทั้งเรื่องการรีไซเคิลน้ำ การผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล รวมถึงการผันน้ำ การลงทุนระบบท่อน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญทั้งการดึงดูการลงทุนในอีอีซี และกลุ่ม ปตท.ก็มีความต้องการใช้น้ำมันมีสัดส่วนร้อยละ 30 ของน้ำอุตฯในภาคตะวันออก .–สำนักข่าวไทย