ทำเนียบฯ 11 พ.ค.- เอกชนลงทุน 1.12 แสนล้านบาท ช่วงไตรมาส 2 งบประมาณปี 66 เขตอีอีซี ลงทุนใหม่ ขยายกิจการสูงสุดเกือบ 3 หมื่นล้านบาท
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสองของปีงบประมาณฯ 2566 การลงทุนในอุตสาหกรรมเช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ มีมูลค่าการลงทุนรวม 1.12 แสนล้านบาท หลังจาก ช่วงปี 2565-2567 รัฐบาลได้มีนโยบาย ส่งเสริมการลงทุน ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566 อุตสาหกรรมผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ ลงทุนกว่า 19,000 ล้านบาท
นโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อให้การผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เป็นไปตามเป้าหมายการผลิตและการใช้ยานยนต์ไร้มลพิษ หรือ Zero Emission Vehicle ส่งผลให้การประกอบกิจการนี้มียอดการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 1,400 ล้านบาท กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมีเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมมีการลงทุนใหม่สูงสุด 22,635 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก มูลค่าการลงทุน 9,259 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการขยายกิจการโรงงานอีก 195 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 23,231 ล้านบาท
โดยกลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ มีมูลค่าการลงทุนขยายกิจการสูงสุด 10,192.68 ล้านบาท รองลงมา กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร มูลค่าการลงทุน 1,930.56 ล้านบาท โดยในสองไตรมาสของปีงบประมาณ 2566 มียอดการลงทุนในประเทศรวมถึง 112,658.60 ล้านบาท เป็นการตั้งโรงงานใหม่และขยายกิจการโรงงาน 1,211 โรงงาน เกิดอัตราการจ้างงานใหม่ 30,603 คน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีการตั้งโรงงานใหม่และการขยายกิจการโรงงาน คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 29,760 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด คือ กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 10,403 ล้านบาท และมูลค่าการลงทุนในการตั้งโรงงานใหม่และการขยายกิจการโรงงานใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) กว่า 37,621 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารมีมูลค่าการลงทุนสูงสุดที่ 14,363 ล้านบาท รัฐบาลจึงมุ่งสนับสนุนการลงทุน ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ .-สำนักข่าวไทย