ย่างกุ้ง 12 ก.พ. – ผู้สนับสนุนนางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี ผู้นำรัฐบาลพลเรือนที่ถูกกองทัพเมียนมาก่อรัฐประหาร กล่าวเรียกร้องให้นานาประเทศใช้มาตรการลงโทษรัฐบาลทหารให้รุนแรงกว่านี้ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบแรกไปแล้ว
ผู้สนับสนุนพรรคเอ็นแอลดีของนางซูจี กล่าวแสดงความยินดีที่สหรัฐออกมาตรการคว่ำบาตรเมียนมา แต่กล่าวว่า มีความจำเป็นต้องมีมาตรการที่รุนแรงกว่านี้เพื่อกดดันให้กองทัพพ้นจากอำนาจการบริหารประเทศและบังคับให้กองทัพยอมรับผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีทีแล้วที่พรรคเอ็นแอลดีได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ผู้สนับสนุนนางซูจี รายหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาต้องการให้จบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ต้องการการลงโทษที่รุนแรงและมาตรการอื่น ๆ กับรักษาการประธานาธิบดีและบรรดานายพลต่าง ๆ ในกองทัพ การรัฐประหารและควบคุมตัวนางซูจี พร้อมทั้งแกนนำรัฐบาลและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองมากกว่า 260 คน ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในเมียนมานับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เรียกว่า “ปฏิวัติชายจีวร” (Saffron Revolution) เมื่อปี 2007 เป็นเหตุการณ์ที่พระสงฆ์ทั่วประเทศลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร
ในขณะเดียวกันย กองกำลังความมั่นคงเมียนมา ออกปฏิบัติการจับกุมฝ่ายตรงข้ามกองทัพอีกระลอกเมื่อคืนที่ผ่านมา มีผู้ถูกควบคุมตัวหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแพทย์คนหนึ่งที่เข้าร่วมในการรณรงค์ต่อต้านกองทัพด้วยการใช้วิธีอารยะขัดขืน มีรายงานว่า ที่สถานที่บางแห่ง ประชาชนเดินขบวนเพื่อขัดขวางมิให้ผู้ที่ถุกจับกุมถูกนำตัวออกไป ในขณะที่สหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบแรกไปแล้ว สมาชิกรัฐสภาของสหภาพยุโรป ก็เรียบกร้องให้บรรดาประเทศในทวีปยุโรปที่เป็นสมาชิกแต่ละประเทศออกมาตรการกดดันเมียนมา ซึ่งอังกฤษ กล่าวว่า กำลังพิจารณามาตรการลงโทษเมียนมา ที่กองทัพก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลชองนางซูจี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ทางด้านรัฐบาลทหารเมียนมาประกาศลดหย่อนโทษและปล่อยตัวนักโทษมากกว่า 23,000 รายวันนี้ โดยกล่าวว่า เป็นไปตามแนวทางการจัดตั้งรัฐประชาธิปไตยใหม่ด้วยสินติภาพ การพัฒนาและระเบียบวินัย และเพื่อให้ประชาชนพอใจ พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ซึ่งเป็นผู้นำการก่อรัฐประหารกล่าวเมื่อวานนี้ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับไปทำงานและขอร้องให้ประชาชนหยุดการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019.-สำนักข่าวไทย