สงขลา 13 ก.ย.-เข้าสู่วันที่ 3 เหตุปะทะเดือด อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เช้านี้ยังยิงปะทะกันต่อเนื่อง ยังไม่สามารถเข้าเคลียร์พื้นที่ได้ จนชาวบ้านไม่กล้าออกจากบ้าน
วันนี้เป็นวันที่ 3 หลังวานนี้ เกิดเสียงยิงปะทะดังสนั่นหวั่นไหว บนเนินเขา หมู่ 7 ต.คูหา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และหลังจากเสียงปืนสงบ ได้มีการเข้าเคลียร์พื้นที่โดยเชิญผู้นำศาสนาเข้าไปในพื้นที่เพื่อตรวจสอบและเป็นสักขีพยาน หลังเจ้าหน้าที่ ยืนยันพบผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิต 1 ราย และเมื่อคืนที่ผ่านมา ก็มีการปะทะต่อเนื่องประมาณ 2-3 ครั้ง
ล่าสุด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงปะทะขึ้นอีกกว่า 10 ครั้งแล้ว ดังมาจากจุดใกล้จุดเกิดเหตุ เมื่อวานนี้ แต่ถึงขณะนี้ยังไม่สามารถเข้าเคลียร์พื้นที่ได้ ทราบเพียงว่าในส่วนของเจ้าหน้าที่ปลอดภัยทุกนาย และ เจ้าหน้าที่ยังคงใช้ความระมัดระวัง โดยมีการใช้โดรนบินลาดตระเวนตลอดตั้งแต่เช้าและขยับเคลื่อนกำลังเข้าทุกพื้นที่ เพื่อเป็นการกดดัน และจำกัดวงล้อรอบเทือกเขา หาตัวผู้ก่อความไม่สงบในการปฏิบัติงาน เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา และติดกับอำเภอนาทวี จ.สงขลา ซึ่งคนร้ายอาจจะ หลบหนี ได้ จากแหล่งข่าวความมั่นคง คาด ยังมีคนร้าย หลบหนี อยู่ในเทือกเขาอีกประมาณ 1-2 คน
ขณะที่บรรยากาศในหมู่ 7 บ้านห้วยเต่า วันนี้ค่อนข้างเงียบเหงา ชาวบ้านยังคงอยู่บ้านเรือนของตนเองเพื่อความปลอดภัย โดยทางเข้าหมู่บ้านได้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้น จากการมีกระแสข่าวว่าจะมีการปลุกระดมมวลชนจากนอกพื้นที่มาเข้ามากดดันเจ้าหน้าที่ กรณีศพผู้ก่อความไม่สงบที่เสียชีวิตเมื่อวานนี้
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุ คือกลุ่มนายกอเซ็ง ลาเตะยามา ที่ถูกออกหมายจับกว่า 7 หมาย และนายอุสนี ยีกะเส็ม ถูกออกหมายจับ 1 หมาย จากเหตุความไม่สงบในพื้นที่ จ.ปัตตานี โดยมีพวกประมาณ 4-5 คน เข้ามาหลบซ่อนตัวและเตรียมก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ แจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โทร 061-1732999 หรือเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้ง ขอเรียนให้ทราบว่าผู้ให้การสนับสนุน ผู้กระทำผิดด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การนำพาซ่อนเร้น การให้การสนับสนุนที่พักพิง หรือการสนับสนุนเสบียงอาหาร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ.-สำนักข่าวไทย