กรุงเทพฯ 21 พ.ค.-อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย แพร่เร็วไม่แตกต่างจากสายพันธุ์อังกฤษ และเชื้อรุนแรงขึ้น แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีน ทั้งแอสตราเซเนกา และซิโนแวค
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีการพบคนงานในแคมป์ก่อสร้างย่านหลักสี่ติดเชื้อโควิด-19 ว่า พบคนงานติดเชื้อสายพันธุ์อินเดีย 36 คน จากการตรวจใน 80 คน เป็นไทย 21 คน เมียนมา 10 คน และ กัมพูชา 5 คน (ข้อมูล ณ เวลา 18.00 น.) ทั้งนี้พบแรงงานถูกกฎหมาย มาทำงานที่ไทยได้ระยะหนึ่งแล้ว เบื้องต้นประสาน กทม. และหน่วยงานความมั่นคงปิดจุดเข้า-ออก ในพื้นที่รอบแคมป์ก่อสร้าง เพื่อป้องกันและควบคุมโรค หลังจากพบพฤติกรรมคนงานมีการเดินทางเข้าออก ส่วนคนป่วยมีอาการเล็กน้อย จากการศึกษาพบว่าเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียยังตอบสนองต่อยาฟาวิพิเวียร์ พร้อมเร่งปูพรมค้นหาผู้ป่วยในแคมป์คนงานก่อสร้าง ตลาด ของกรุงเทพและตามต่างจังหวัดโดยใช้อำนาจของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในการดำเนินการ
นพ.โอภาส กล่าวว่า การถอดรหัสพันธุ์ทำให้พบว่า สายพันธุ์อินเดีย มีการแพร่เชื้อเร็วไม่แตกต่างจากสายพันธุ์อังกฤษ และพบว่าเชื้อมีความรุนแรงขึ้น และเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดียยังไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิ์ของวัคซีนทั้งแอสตราเซเนก้า และซิโนแวค
โดยสายพันธุ์อินเดียเข้าไทยครั้งแรก มาจากผู้ที่เดินทางมาจากปากีสถานในสถานที่รัฐกักตัว ก่อนจะมาเจอในแคมป์คนงาน จากนี้จะร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มโรงเรียนแพทย์ดำเนินการตรวจค้นหาและเทียบพันธุ์กรรมของเชื้อไวรัสโควิดเพื่อหาที่มาว่าเชื้อดังกล่าวหลุดรอดหรือแพร่มาจากที่ใด
ด้าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ข้อความว่า ตั้งแต่กลางปีนี้ ถ้ามีสายพันธุ์อินเดียและแพร่คนไทยสู่คนไทย ต้องระวัง การตรวจจับอาจไม่แม่นยำ เพราะเชื้อลงลึกในปอด แยงจมูกไม่เจอกระบวนการตรวจพีซีอาร์ อาจจับได้ไม่หมด เพราะรหัสพันธุกรรมเพี้ยน ดังนั้นถ้าแพร่ไปอาจมีปัญหากับวัคซีน ขณะนี้ทั้งหมดการคัดกรองที่เร็วที่สุด คือการตรวจเลือดว่าติดเชื้อหรือไม่
นอกจากนี้ยังได้โพสต์ถึง ความกังวลต่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย โดยระบุว่าสายพันธุ์อินเดียมักแพร่กระจายลงสู่หลอดลมส่วนลึก และถุงลมซึ่งแตกต่างจากสายพันธุ์เดิมที่แพร่กระจายในโพรงจมูกและลำคอ สามารถติดเชื้อได้เร็วขึ้นและแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น สายพันธุ์อินเดียสามารถหลีกหนีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ ไม่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดียได้ และต้องติดตามว่ากลับทำให้เกิดการอักเสบที่อันตรายต่อเนื้อเยื่อ และทุกระบบของร่างกายมากขึ้น
สำหรับสายพันธุ์โควิด-19 นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลไว้เมื่อวันที่ 27 เมษายน ว่าข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก มีการพบกลายพันธุ์ของสายพันธุ์อังกฤษ เดือนกันยายนปีก่อน และเริ่มมีการกระจายไปในหลายประเทศ หลายทวีปทั่วโลก ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เดิมอัตราการป่วยเฉลี่ย 1 ล้านคน จะพบภายใน 2-3 วัน แต่ปัจจุบันเพิ่มมากขึ้น เฉลี่ยวันละ 8 แสนคนต่อวัน
และเมื่อเปรียบเทียบสายพันธุ์ของโควิด พบว่าสายพันธุ์อังกฤษที่ไทยเราเผชิญอยู่นี้ หรือ B.1.1.7 เดิมไม่มีความรุนแรง แค่แพร่เชื้อเร็ว แต่ปัจจุบันพบหลักฐานความรุนแรงเพิ่มขึ้น และอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ส่วนสายพันธุ์แอฟริกา หรือ B.1.351 เดิมแพร่กระจายเร็วและไม่พบความรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่วนสายพันธุ์บราซิล P1 พบว่าทั้งแพร่เชื้อเร็ว และมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้อีก โดยขณะนี้พบการติดเชื้อในญี่ปุ่นแล้ว ส่วนสายพันธุ์ในสหรัฐอเมริกา พบถึง 2 สายพันธุ์ B.1.427 และ B.1.429 ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา.-สำนักข่าวไทย