กทม. 14 เม.ย. – มาตรการของรัฐบาลที่ให้กักตัวอยู่บ้าน งดการเดินทาง ปิดห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง แหล่งท่องเที่ยว และมีมาตรการเข้มประกาศเคอร์ฟิว ทำให้แท็กซี่เป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับผลกระทบ แต่พวกเขาก็ต้องปรับตัวให้อยู่รอด
ข้อมูลเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร เดือนมกราคม พบว่ามีแท็กซี่ในระบบประมาณ 80,000 คัน ขณะนี้มีรถวิ่งประมาณ 40,000 คัน เหตุจากผู้โดยสารน้อย ที่ผ่านมาคนขับแท็กซี่มีรายได้ 1,500-2,000 บาทต่อวัน หักต้นทุนค่าเช่ารถ และค่าเชื้อเพลิง จะเหลือเงินเก็บ 300-500 บาท แต่ปัจจุบันรายได้แท็กซี่ต่อวัน 300-500 บาทเท่านั้น เมื่อหักต้นทุนแทบไม่มีเงินเหลือกินเหลือใช้
ในช่วงที่คนกักตัวอยู่บ้าน ส่งผลยอดการซื้อสินค้าออนไลน์และขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ข้อมูลของบริษัทขนส่งสินค้าพบว่า หากสถานการณ์ปกติ การขนส่งสินค้าจะเฉลี่ย 1 ล้านชิ้นต่อวัน แต่ในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด มีสินค้าเพิ่มขึ้น 200,000-500,000 ชิ้นต่อวัน แม้จะเพิ่มเที่ยวรถ แต่ด้วยข้อจำกัดมาตรการล็อกดาวน์จังหวัดและเคอร์ฟิว ทำให้การระบายสินค้าเกิดความล่าช้าบ้าง
“แท็กซี่ส่งของ สู้ภัยโควิด” เป็นช่องทางหนึ่งให้แท็กซี่มีรายได้เพิ่มขึ้น 500-800 บาทต่อวัน จากเดิมรายได้หลักมาจากผู้โดยสารเพียงทางเดียว การเปลี่ยนไปรับขนส่งสินค้าเป็นอีกทางเลือกให้อยู่รอดในยามวิกฤติ แม้จะเริ่มเปิดตัวสัปดาห์แรก แต่กระแสตอบรับดีเกินคาด ทั้งจากคนขับแท็กซี่ ผู้ใช้บริการที่ได้สินค้าเร็วขึ้น และจากสังคมที่เห็นถึงความเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามเกิดปัญหา ส่วนเรื่องความปลอดภัยและมาตรฐาน ระบบสมาร์ทแท็กซี่มีข้อมูลที่ตรวจสอบได้ในทุกความเคลื่อนไหว จึงมั่นใจได้
คนขับรถแท็กซี่คนนี้เริ่มมาขับรถส่งของเป็นครั้งที่ 2 แม้ต้องปรับตัวบ้างแต่ไม่มีปัญหา เพราะบริษัทจัดระบบให้ขนส่งสินค้าจำกัดพื้นที่ในเส้นทางที่ขับประจำหรือจัดของให้เป็นโซน ตอนนี้รายได้หลักมาจากการขนส่งสินค้า ไม่ใช่การขับแท็กซี่แบบปกติ เพราะเป็นช่องทางเดียวที่ทำให้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้
ในช่วงที่เหตุการณ์ไม่ปกติ ปัญหาปากท้องเป็นรื่องสำคัญ เมื่อรายได้ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดเป็นเรื่องจำเป็น การผันตัวจากส่งคนมาเป็นส่งของ เป็นทางเลือกหนึ่งของแท็กซี่ ที่ทำให้เห็นว่าประโยคที่ว่า “ไม่เลือกงานไม่อดตาย” ยังเป็นคำพูดที่ใช้ได้ดีอยู่ . – สำนักข่าวไทย