กรุงเทพฯ 18 พ.ย. – รมว.เกษตรฯ สั่งกรมการข้าวพัฒนาสายพันธุ์ข้าวหอมมะลิ เรียกความเป็นหนึ่งด้านคุณภาพคืน หลังผลประกวดข้าวโลกไทยเสียแชมป์ 2 ปีซ้อนให้กัมพูชาและเวียดนาม พร้อมศึกษาวิจัยแนวทางพัฒนาดิน เนื่องจากปลูกซ้ำในพื้นที่เดิมมานานอาจมีผลให้คุณภาพข้าวต่ำ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงผลการประกวดข้าวโลก 2019 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยข้าวพันธุ์ ST24 ของเวียดนามชนะการประกวดข้าวที่ดีที่สุดในโลก ส่วนข้าวหอมมะลิจากไทยเป็นอันดับ 2 โดยไทยเสียแชมป์ต่อเนื่อง 2 ปี เนื่องจากปี 2018 ข้าวหอมมะลิกัมพูชามาลีอังกอร์ได้อันดับ 1 ส่วนข้าวหอมมะลิไทยได้เพียงอันดับ 2
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า สั่งการให้กรมการข้าวเร่งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวหอมมะลิ โดยตรวจสอบว่าข้าวเวียดนามและกัมพูชาที่ชนะเลิศนั้น มีข้อเด่นด้านใด เพื่อนำมาพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิไทยให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ได้รับรายงานว่าข้าวพันธุ์ ST24 ของเวียดนาม มีเมล็ดยาว เหนียวนุ่ม แม้ความหอมจะน้อยกว่าข้าวหอมมะลิไทย แต่มีความหวานมากกว่า ซึ่งข้าวพันธุ์นี้เวียดนามใช้เวลาพัฒนาประมาณ 5 ปี จึงได้รับรางวัลและขณะนี้เวียดนามอยู่ระหว่างการพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่วนข้าวอังกอร์ คือ ข้าวหอมมะลิกัมพูชา เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองมีกลิ่นหอม เหนียวนุ่ม เป็นที่นิยมของชาวจีน แต่จุดอ่อน คือ หากปล่อยไว้ในอุณหภูมิปกติประมาณ 10 นาที จะเหนียวและแข็ง ต้องรับประทานตอนที่ร้อนเท่านั้น โดยคุณสมบัติข้อนี้ยังเป็นรองข้าวหอมมะลิไทย การที่กัมพูชาคว้าอันดับ 1 ข้าวที่ดีที่สุดในโลกมาครองปีที่แล้วเป็นผลมาจากความพยายามที่จะทำให้เมล็ดพันธุ์มีความสะอาด ปราศจากการเจือปน ส่งผลให้เมล็ดพันธุ์มีคุณภาพ กัมพูชาทำนาเพียงปีละ 1 ครั้ง โดยใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้ข้าวรสชาติถูกปากผู้บริโภคมากกว่าเดิม
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ในฐานะเป็นประธานคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิตได้มอบนโยบายว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีเป็นปัจจัยแรกที่สำคัญที่จะทำให้ได้ผลผลิตข้าวคุณภาพ ทั้งเวียดนามและกัมพูชาต่างไม่หยุดพัฒนาสายพันธุ์ข้าว ดังนั้น ไทยจึงต้องเร่งศึกษาวิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์ ครอบคลุมถึงระบบการปลูก การพัฒนาดิน ซึ่งต้องศึกษาว่าการปลูกพืชชนิดเดียวที่เดิมเป็นเวลาหลายสิบปีทำให้คุณภาพข้าวต่ำลงหรือไม่ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการทำเกษตรอื่นในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมจะปลูกข้าวตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) นอกจากนี้ ยังย้ำให้หาแนวทางลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากราคาข้าวหอมมะลิไทยสูงกว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวอื่นมาก โดยขณะนี้ข้าวหอมมะลิไทยราคาส่งออกอยู่ที่ตันละ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
นายสุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า จะเร่งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวหอมมะลิให้มีคุณภาพกลับมาครองใจบริโภคทั่วโลกได้ดังเดิม นอกจากนี้ รมว.เกษตรฯ กำชับให้แก้ปัญหาการเจือปนในเมล็ดพันธุ์ข้าว ทำให้คุณภาพผลผลิตต่ำลง ส่วนระบบการปลูกจำเป็นต้องบำรุงดินโดยผสมผสานการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยสั่งตัด เพื่อให้ตรงกับสภาพดิน ซึ่งจะต้องตรวจสอบก่อนว่าดินในนามีธาตุอาหารใดมากและต้องการธาตุอาหารใดเพิ่ม จากนั้นผสมปุ๋ยให้ได้สูตรที่เหมาะสม อีกทั้งยังต้องพัฒนาให้ข้าวทนทานต่อโรคมากขึ้นดังเช่นปีนี้นาข้าวหอมมะลิส่วนหนึ่งเสียหาย เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคไหม้คอรวง กรมการข้าวต้องดำเนินการตามแผนข้าวครบวงจรในการรักษาสมดุลการผลิตข้าว เพื่อรักษาปริมาณผลผลิตข้าวไทยไม่ให้ล้นตลาด (Over Supply) ทำให้ราคาตกต่ำ
“กระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายเพิ่มการผลิตเมล็ดพันธ์ข้าว จากเดิมผลิตได้ 85,000 ตันต่อปี เป็น 260,000 ตันต่อปี ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุมธานี ข้าวเจ้า และข้าวเหนียวให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรและช่วยเหลือเกษตรกรกรณีเกิดปัญหาภัยพิบัติหรือเกิดโรคในข้าว นอกจากนี้ จะสนับสนุนเครื่องมือ รถเกี่ยว เครื่องปักดำ เครื่องคัดแก่ศูนย์ข้าวชุมชนเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน สำหรับการศึกษาวิจัยจะร่วมกับกรมวิชาการเกษตรปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทยและวิธีการรักษาคุณภาพเพื่อให้ได้คงความนิยมจากตลาดและครองใจผู้บริโภคทั่วโลกไว้ให้ได้” นายสุดสาครกล่าว.-สำนักข่าวไทย