กรุงเทพฯ 8 ต.ค. – รมว.พลังงานไฟเขียวโออาร์กระจายหุ้น และเตรียมออก 4 แคมเปญ ช่วยลดมลพิษ PM 2.5 ทั้ง “บี10-เอทานอล-อีวี-โรงไฟฟ้าชุมชน” ฝันต่อเป็นฮับแบตเตอรีอีวีแห่งอาเซียน เตรียมเสนอ “สมคิด” ปรับโฉมกองทุนอนุรักษ์ 10 ต.ค.
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า นโยบายของกระทรวงพลังงาน นอกจากจะสร้างความมั่นคงแล้วยังมุ่งไปถึงการสร้างรายได้แก่เศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งดูถึงการช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งในส่วนของการกระจายหุ้น บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (โออาร์ ) ทาง ปตท.ได้ส่งรายงานถึงสิ่งที่ได้แนะนำไปแล้วทั้งด้านความมั่นคง การกระจายธุรกิจสู่ต่างประเทศ และได้ช่วยเศรษฐกิจฐานราก ตามโครงการ “ไทยเด็ด” ดังนั้น การดำเนินขั้นต่อไป คือ ปตท.จะดำเนินการกระจายหุ้นตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต่อไป
นายสนธิรัตน์ ยังกล่าวด้วยว่า ในด้านการลดมลพิษ PM 2.5 นั้น ทางกระทรวงฯ มี 4 แผนงานและจะออกแคมเปญต่อเนื่อง ทั้งการส่งเสริมบี 10 การส่งเสริมเอทานอล การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี ) และโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าฝุ่น PM 2.5 นั้น สาเหตุหลักเกิดจากการเผาพืชสิ่งเหลือใช้ทางการเกษตร และการคมนาคม การใช้ 4แนวทางเหล่านี้จะช่วยตอบโจทย์ดังกล่าวได้ โดยโรงไฟฟ้าชุมชนจะช่วยเปลี่ยน การเผาฟางข้าว ซังข้าวโพด แล้วนำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้ตามโครงการ 1 ชุมชน 1 โรงไฟฟ้า
สำหรับอีก 3 มาตรการในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้แก่ การส่งเสริมการใช้ดีเซลบี 10 เป็นน้ำมันพื้นฐานที่จะมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป กระทรวงฯ เตรียมออกแคมเปญภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ส่วนกรณีที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่ส่งเสริมบี 20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน ขอชี้แจงว่ารถที่ใช้บี 20 มีจำนวนน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับรถที่ใช้บี 10 ที่มีครึ่งหนึ่งของตลาด ทำให้บี 10 จะนำสู่เป้าหมายการใช้ 57 ล้านลิตรต่อวันได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น บี 10 จะช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ )ได้มากกว่า บี 20
ส่วนการส่งเสริมอีวีจะออกมาเป็นแพ็กเกจรวม เพื่อส่งเสริมการใช้และการลงทุนที่มองทั้งแบตเตอรี่รถยนต์ สถานีชาร์จ และระบบไฟฟ้าของประเทศรองรับ ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (พีดีพี 2018) รองรับอีกด้วย โดยจำเป็นต้องหารือกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อคงให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาค และให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางผลิตแบตเตอรีในอาเซียน ซึ่งมั่นใจจะดึงดูดการลงทุนแข่งขันกับเวียดนามและอินโดนีเซียได้แน่นอน
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ในเรื่องที่ “เชฟรอน-กลุ่มโมเอโกะ-โททาล” ถอนฟ้องอนุญาโตตุลาการ เรื่องวงเงินประกันแสนล้านบาท รื้อถอนฐานผลิตปิโตรเลียม “เอราวัณ-บงกช” ที่จะหมดอายุสัมปทานปี 2565-2566 นั้น นับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของกระทรวงพลังงาน เพราะเป็นการตอกย้ำสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนในไทยและเป็นการเจรจารับฟังความเห็นร่วมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
นายสนธิรัตน์ ยังเปิดเผยด้วยว่า วันที่ 10 ตุลาคม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาตรวจเยี่ยม บมจ.ปตท.และเป็นประธานประชุมคณะกรรมการกองทุนอนุรักษ์พลังงาน โดยจะเสนอปรับโฉมการทำงานของกองทุนฯ มีการปรับปรุงเงื่อนไขเอื้อให้เกิดการใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ ลงถึงชุมชนและเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนโรงไฟฟ้าชุมชน ภายใต้กรอบวงเงินเดิมของกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว คือ แผนการใช้เงิน 60,000 ล้านบาทใน 5 ปี (2560-2564) วงเงินปีละ 12,000 ล้านบาท. -สำนักข่าวไทย