กรุงเทพฯ 18 ต.ค. – ไทยประกันชีวิต ยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
นายไชย ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ประมาณ 20% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่าย และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินเป็นจำนวนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณปี 2565 ซึ่งจะเป็นปีที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจครบ 80 ปี และมีบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับการทำ IPO
การระดมทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการระดมทุนจะนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจในด้านต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ทั้งการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) การขยายตลาด การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่าย การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน
“ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมาก โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ 334% ซึ่งสูงกว่าอัตราที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดที่ 120% และบริษัทฯ ยังมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 82,184 ล้านบาท ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 3 ของธุรกิจประกันชีวิตไทย” นายไชย กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) บริษัทฯ มีรายได้รวม 100,851.67 ล้านบาท 108,388.70 ล้านบาท และ 107,642.26 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 6,709.23 ล้านบาท 6,777.35 ล้านบาท และ 7,692.32 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ระหว่างปี 2661-2563 ประมาณ 7.1% ส่วนผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 50,744.50 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,935.33 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 42.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจ แต่บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากอัตราการจ่ายสินไหมสุขภาพของบริษัทฯ ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และหลังการแพร่ระบาดอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งบริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการด้านสินไหมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับบริษัทฯ มีเงินสำรองประกันชีวิตที่สูง ณ ธันวาคม 2563 อยู่ที่ 344,590 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจ่ายคืนแก่ผู้เอาประกันภัยตามสัญญากรมธรรม์
ทั้งนี้ จากรายงานธุรกิจประกันชีวิตไทยที่จัดทำโดย Milliman Limited ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยอิสระ รายงานว่า ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 7.3% โดยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในปัจจุบันมีอัตราการเข้าตลาด (Penetration Rate) สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี ในปี 2563 อัตราการเข้าตลาด (Penetration Rate) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ คิดเป็น 3.8% ของ GDP ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตในไทยยังมีศักยภาพในการเติบโต จากปัจจัยหนุนแนวโน้มคนไทยที่มีรายได้สุทธิที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการคุ้มครองสุขภาพและประกันชีวิตที่เพียงพอ และความต้องการวางแผนเกษียณอายุและการออมทั่วไปที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างโอกาสสำคัญในการเติบโตให้กับบริษัทประกันชีวิต ประกอบกับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจต่อไป -สำนักข่าวไทย