คมนาคม-เมียนมา ลงนามบริหาร ซ่อมบำรุงสะพานแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 แล้ว!!

กรุงเนปยีดอ 2 ต.ค. – กระทรวงคมนาคมลงนามข้อตกลงว่าด้วยการบริหารการบำรุงรักษาและการใช้สะพานมิตรภาพไทยเมียนมาแห่งที่ 2 กับเมียนมา


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินทางเยือนกรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อร่วมลงนามความตกลงว่าด้วยการบริหาร การบำรุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาข้ามแม่น้ำเมย-ตองยิน แห่งที่ 2 ระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทย และนายอูฮานซอ รัฐมนตรีกระทรวงก่อสร้างแห่งสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมย-ตองยิน แห่งที่ 2 ถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งระดับรัฐบาลและประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม โดยสะพานแห่งนี้ถือเป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปยังถนนสายแม่สอด-เมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี-กอกะเร็ก ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน ยกระดับด่านพรมแดนและส่งเสริมการจัดตั้งเมืองคู่แฝดชายแดน สร้างโครงข่ายคมนาคมเพื่อการขนส่งสินค้าที่ต่อเนื่องตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกที่จะเชื่อมเส้นทางขนส่งสินค้าของเมียนมา ไทย สปป.ลาว และเวียดนาม ซึ่งจะเป็นเส้นทางขนส่งจากทะเลอันดามันไปสู่ทะเลจีนใต้ เปิดประตูการค้าการลงทุนจากเมืองดานัง สู่เมาะลำไย ไปยังภูมิภาคอื่นทั้งจีน อินเดีย และบังกลาเทศ


ทั้งนี้ โครงการสะพานมิตรภาพไทยเมียนมาร์ข้ามแม่น้ำเมย-ตองยิน แห่งที่ 2 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรปี 2557-2565 เพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พร้อมการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 และวันที่ 2 มิถุนายนปีเดียวกันคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการให้กรมทางหลวงก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอด พร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 ภายในกรอบวงเงิน 3,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่อนุมัติความช่วยเหลือแบบให้เปล่า แก่เมียนมา 1,000 ล้านบาทและวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 ขยายกรอบวงเงินดำเนินโครงการเป็น 4,267.57 ล้านบาท โดยจัดมีพิธีฉลองความสำเร็จสร้างสะพานมิตรภาพไทยเมียนมาแห่งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 และล่าสุดเตรียมการส่งมอบการก่อสร้างศูนย์ต่าง ๆ ให้เมียนมา และจัดให้มีการลงนามความตกลงว่าด้วยการบริหาร การบำรุงรักษาและการใช้สะพานร่วมกันในวันนี้ 

สำหรับสะพานดังกล่าวมีความยาวรวม 760 เมตร คิดเป็นความยาวฝั่งไทย 515 เมตร ฝั่งเมียนมา 245 เมตร เพื่อเชื่อมต่อบ้านวังตะเคียนใต้ ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และบ้านเยปู เมืองเมียวดี จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยงเมียนมา รวมทั้งมีงานก่อสร้างอาคารด่านพรมแดน (BCF) ทั้งฝั่งไทยและเมียนมาด้วย

สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทยเมียนมาที่ผ่านด่านแม่สอดปี 2561 มีมูลค่าส่งออก 73,000 ล้านบาท และการนำเข้า 6,400 ล้านบาท จากข้อมูลของกรมทางหลวงประมาณการณ์ว่าเมื่อสะพานเปิดใช้งานจะมีปริมาณรถใช้ผิวจราจรของสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 เฉลี่ยปีละกว่า 228,000 คัน โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นรถบรรทุก 100,000 คัน.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง