สวมบัตรประชาชนซื้อบริการสื่อสาร ตอน 1

กรุงเทพฯ 13 ก.ย. – เมื่อสัปดาห์ก่อน ช่างภาพของสำนักข่าวแห่งหนึ่งต้องตกเป็นผู้เสียหาย ถูกบริษัทโทรศัพท์มือถือทวงเงินค้างชำระค่าบริการหลายพันบาท ทั้งค่าโทรและค่าเครื่อง ทั้งที่ไม่ได้ใช้เบอร์ดังกล่าว เมื่อไปตรวจสอบพบว่า มีการนำสำเนาบัตรประชาชนของผู้เสียหายไปซื้อซิมการ์ดแบบเติมเงินจากค่ายหนึ่ง ก่อนย้ายมาอีกค่าย ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นกับอีกหลายคน


นี่เป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่ถูกสำนักงานกฎหมายส่งเอกสารทวงหนี้ เนื้อหาระบุชัดเจนว่า ค้างชำระค่าบริการเน็ตรายเดือนบริษัทยักษ์ใหญ่ย่านรัชดาฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว แม้จำนวนเงินไม่ถึง 1,000 บาท แต่ส่งผลต่อจิตใจ เพราะไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี 


กลางปีที่แล้ว ขณะนั่งทำงานตามปกติ มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ โทรแจ้งสิทธิ์โปรโมชั่นเน็ตบ้านราคาถูก โดยระบุว่า พบข้อมูลการใช้เน็ตบ้านสูง จึงเสนอให้เปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่เป็นเหมาจ่ายรายเดือนที่มีความเหมาะสมกับการใช้งาน ต้นจึงปฏิเสธ เพราะไม่ได้ใช้บริการบริษัทนี้ เจ้าหน้าที่กลับทวนชื่อ นามสกุล และเลขบัตรประชาชน 13 หลักของต้นได้อย่างแม่นยำ ต้นจึงตัดสินใจเข้าไปแสดงตัว ขอตรวจสอบข้อมูลหมายเลขดังกล่าวกับศูนย์บริการแห่งหนึ่ง แต่ถูกปฏิเสธ อ้างไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลลูกค้า ทำได้เพียงให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ต้นเปิดใช้บริการเน็ตกับทางบริษัทมานานกว่า 3 ปี เริ่มตั้งแต่กลางปี 2556 เป็นลูกค้าประวัติดี ไม่มีการค้างชำระ ต้นจึงขอใช้สิทธิ์ในฐานะเจ้าของเบอร์ ยกเลิกบริการดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยินยอม พร้อมแนะนำให้ไปแจ้งความ ลงบันทึกประจำวัน และนำหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของบริษัท เพื่อยกเลิกเบอร์ดังกล่าว แต่ต้นไม่ได้ดำเนินการอะไร จนในที่สุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ต้นถูกทวงหนี้ค่าเน็ตบ้าน จึงโทรศัพท์กลับไปยังบริษัทอีกครั้ง ทวงถามเรื่องดังกล่าว กลายเป็นว่า บริษัททำได้เพียงแค่ยกเลิกเบอร์เท่านั้น โดยผู้แอบอ้างใช้ชื่อต้น ยังไม่ได้จ่ายค่าเน็ตเดือนสุดท้ายก่อนถูกยกเลิก 


เช่นเดียวกับ บิ๊ก ช่างภาพของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ต้องเดินขึ้นโรงพักแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง พร้อมทำคำร้องขอให้บริษัทโทรศัพท์มือถือ ย่านปทุมวัน เปิดเผยข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ในเครือข่าย ที่มีชื่อเขาเป็นเจ้าของ พร้อมขอที่อยู่ในการจัดส่งใบแจ้งหนี้ หลังถูกทวงหนี้ค้างค่าบริการและค่าเครื่องโทรศัพท์เป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีการนำสำเนาบัตรประชาชนของบิ๊กไปยื่นซื้อซิมโทรศัพท์แบบเติมเงิน จากค่ายเอไอเอส ก่อนย้ายค่ายมายังดีแทค และเปลี่ยนเป็นเหมาจ่ายรายเดือน พร้อมซื้อเครื่องแบบผ่อนชำระ

ปัญหาการใช้บัตรประชาชนของคนอื่นไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ซิมการ์ดและเน็ต ไม่ใช่ปัญหาใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น กสทช.กลับมองว่าเป็นเรื่องเก่า เกิดขึ้นมากว่า 5 ปีแล้ว เพียงแต่ผู้เสียหายเจ้าของบัตรประชาชนเพิ่งรู้ตัว เพราะคนใช้โทรศัพท์ในชื่อคนอื่น ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่พร้อมจ่ายค่าบริการ แต่ไม่พร้อมเปิดเผยข้อมูลตนเอง ด้วยเหตุผลหลายอย่าง. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง