กรุงเทพฯ 17 ก.ย. – รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตั้งธงสอบปมใช้เงินบริจาควัดนาป่าพง ว่ามีการนำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยความคืบหน้า หลังมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกคือกรณีที่มีทนายความของผู้เสียหายมาร้องทุกข์ดำเนินคดีไว้ที่ บก.ปปป. ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. แล้ว อยู่ระหว่างประสานว่าจะส่งสำนวนกลับมาที่บก.ปปป.หรือไม่ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของกองบังคับการปราบปรามที่ได้รับคำร้องให้ตรวจสอบวัดนาป่าพง
จากการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ทนายความผู้เสียหายนำมายื่นให้ เบื้องต้นยังพบบางประเด็นที่มีความขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งคดีนี้ มีประเด็นสำคัญที่จะต้องตรวจสอบคือ เรื่องบัญชีเงินวัด ที่มีการเปิดรับบริจาคและนำไปใช้ในมูลนิธิฯ และเครือข่ายวัด ซึ่งจะต้องดูว่าเงินบริจาคถูกนำไปใช้ตรงวัตถุประสงค์คือนำไปใช้ประโยชน์กับกิจการที่เกี่ยวข้องของวัดหรือไม่ และเงินบริจาคที่เข้ามา ในส่วนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินกว่า 12 ล้านบาท ไปอยู่ตรงจุดไหน ใช้ทำอะไร หรือมีการเปิดบัญชีเพิ่มหรือไม่ ถ้ามีการเปิดบัญชีเพิ่มเงินยังอยู่ที่ต่างประเทศ หรืออยู่ในประเทศ โดยหาก ป.ป.ช.ส่งสำนวนกลับมาให้พนักงานสอบสวน ทางพนักงานสอบจะต้องประสานงานกับอัยการสูงสุด เพราะคดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร
สำหรับการเปิดสาขาที่ประเทศเยอรมนี พบเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 2556-2559 จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ที่เชื่อมโยงกับผู้เสียหายเบื้องต้น พบมีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก โดยอาจสูงถึงหลักร้อยล้านบาท แต่ส่วนตัวไม่ขอลงรายละเอียด
ส่วนเหตุผลที่ทำให้มีคนบริจาคเงินกับวัดเยอะนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า น่าจะมาจากการที่ มีพุทธศาสนิกชนศรัทธาในตัวเจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ซึ่งการจะดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง คือจะต้องตรวจสอบให้ได้ว่า เงินบริจาคถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยเท่าที่ตรวจสอบก็เชื่อได้ว่าน่าจะมีผู้เกี่ยวข้องที่อาจเข้าข่ายกระทำความผิด 8-9 คน ซึ่งก็มีทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ แต่ขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้มีการเรียกเจ้าอาวาสวัดนาป่าพงเข้ามาชี้แจง เนื่องจากจะต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานและสอบปากคำฝั่งของผู้เสียหายก่อน.-415-สำนักข่าวไทย