กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – สทนช.เกาะติด 6 โครงการสำคัญตามข้อสั่งการนายกฯ บูรณาการเร่งรัดหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เสร็จตามเป้าหมาย เสนอคณะรัฐมนตรีใหม่
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สทนช.ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำติดตามความก้าวหน้าโครงการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดทำรายงานความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไขเสนอต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ประกอบด้วย 6 โครงการสำคัญ คือ โครงการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตร จังหวัดพิจิตร โครงการฟื้นฟูแผนหลักการพัฒนาหนองหาร จังหวัดสกลนคร โครงการขุดลอกคลองระบายน้ำจากลำน้ำชี โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขาว จังหวัดแม่ฮ่องสอน โครงการน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค และการจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ
สำหรับโครงการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตร จังหวัดพิจิตร เร่งรัดให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2563 โดยได้มอบหมายกรมทรัพยากรน้ำและกรมชลประทานพิจารณาเสนอขอปรับแผนการดำเนินงานปีงบประมาณ 2562 และ 2563 พร้อมทั้งให้กรมชลประทานเร่งสำรวจออกแบบก่อสร้างประตูระบายน้ำในลำน้ำยมตอนล่าง ถัดจากประตูระบายน้ำโพธิ์ประทับช้างเพิ่มเติม ในงานศึกษาความเหมาะสมแนวทางการเติมน้ำจากอาคารที่สร้างในแม่น้ำยมให้กับแม่น้ำพิจิตร และกองทัพบกร่วมกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พิจารณาจัดทำรายละเอียดประกอบการพิจารณาโครงการที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์การพิจารณา 27 รายการ จากที่ได้รับงบกลางไปแล้ว 43 รายการ โดยเฉพาะรายการที่จะต้องดำเนินการในโครงการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตร จังหวัดพิจิตร
ส่วนโครงการฟื้นฟูแผนหลักการพัฒนาหนองหาร จังหวัดสกลนคร เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำป้องกันปัญหาภัยแล้งและสามารถป้องกันอุทกภัยได้ในฤดูฝน โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างจังหวัดสกลนคร กรมชลประทาน และ สทนช. ซึ่งจะจัดทำแผนหลักอย่างเป็นองค์รวม สำหรับใช้เป็นแนวทางให้ส่วนราชการต่าง ๆ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปดำเนินการได้ ประกอบด้วย แผนระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว ครอบคลุมการพัฒนา 10 ปี (พ.ศ.2563-2570) ดำเนินการ 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต การจัดการน้ำท่วมอุทกภัย การจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และการบริหารจัดการ รวม 63 โครงการ วงเงิน 5,509 ล้านบาท โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบ 13 หน่วยงาน ซึ่งขณะนี้แต่ละหน่วยงานกำลังจะจัดทำแผนปฏิบัติของแต่ละปีงบประมาณ และแผนการดำเนินงานที่จะสามารถขับเคลื่อนได้ หลังจากนั้น สทนช.จะนำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ แผนงานโครงการและหน่วยปฏิบัติต่อไป
เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการขุดลอกคลองระบายน้ำจากลำน้ำชีเป็นการก่อสร้างทางผันน้ำชีตอนล่างพร้อมอาคารประกอบตามนโยบายที่ประชุม ครม.สัญจร เมื่อวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2561 จังหวัดอำนาจเจริญและอุบลราชธานี ดำเนินการโดยกรมชลประทาน วงเงิน 310 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 งานหลัก คือ งานขุดลอกคลองผันน้ำและขยายแก้มลิง 6 แห่ง งานก่อสร้างอาคารบังคับน้ำพร้อมอาคารประกอบ 6 แห่ง และงานก่อสร้างระบบกระจายน้ำพร้อมอาคารประกอบ เมื่อดำเนินการเสร็จจะสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ 3,000 ไร่ มีเส้นทางสัญจรและลำเลียงผลผลิตทางการเกษตร ลดระยะเวลาพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 25,000 ไร่ จาก 4 เดือน เหลือไม่เกิน 1 เดือน และสามารถระบายได้ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะนี้ดำเนินการออกแบบเสร็จอยู่ระหว่างการรับฟังความเห็น และร่วมคิดกับราษฎรและเกษตรกรในพื้นที่ โดยมีแผนจะขอรับงบประมาณตั้งแต่ปี 2563-2565
นอกจากนี้ ยังเร่งรัดกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขาว จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้แล้วเสร็จตามแผนงาน ซึ่งได้รับงบประมาณก่อสร้างปี 2562 วงเงิน 85 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติการใช้พื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้ ซึ่งคาดว่าคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติจะตรวจสอบและเห็นชอบได้ภายในเดือนมิถุนายน 2562 ก่อนเสนอคณะกรรมการป่าสงวนแห่งชาติพิจารณาอนุญาต คาดว่าโครงการทั้งหมดจะเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2562 อย่างแน่นอน
ส่วนโครงการน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ซึ่ง กนช.มอบหมายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล จัดหาน้ำอุปโภคบริโภคให้ครบทั้ง 169 หมู่บ้าน ให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2562 อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่ามีหลายพื้นที่มีระบบประปาหมู่บ้านอยู่แล้ว 23 แห่ง ที่เหลือที่ประชุมได้เร่งรัดให้เสร็จตามเป้าหมาย
“สิ่งกีดขวางทางน้ำ กนช.มอบหมายให้ทุกหน่วยงาน เช่น กรมชลประทาน กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำรวจสิ่งกีดขวางทางน้ำ และให้เร่งรัดดำเนินการแก้ปัญหา โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดปัญหาอุทกภัยที่ผ่านมา จากการสำรวจพบว่ามีสิ่งกีดขวางทางน้ำในเขตภาคใต้ 111 แห่ง ปัจจุบันดำเนินการเสร็จ 74 แห่ง และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 26 แห่ง ที่เหลือ 11 แห่ง จะการดำเนินงานภายในปี 2563 ส่วนภูมิภาคอื่น พบว่า สิ่งกีดขวางทางน้ำในเขตภาคเหนือ 161 แห่ง ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 60 แห่ง ในเขตภาคกลาง 115 แห่ง และในเขตภาคตะวันออก 115 แห่ง รวม 451 แห่ง ปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการปรับปรุง เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบพิกัดจุดที่ตั้งและข้อมูลบัญชีรายการของอาคาร” เลขาธิการ สทนช. กล่าว.-สำนักข่าวไทย