เอกชนมองสงครามการค้าไทยจะได้มากกว่าเสีย

กรุงเทพฯ 12 พ.ค.- สงครามการค้าจีน-สหรัฐรอบใหม่ เอกชนมองว่า ไทยจะได้รับผลบวกมากกว่าลบ แนะรัฐบาลดึงดูดการลงทุน พร้อมเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าเช่น อินเดีย พร้อมส่งสัญญาณถึงภาคการเมืองควรเร่งจัดตั้งรัฐบาล


นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ว่า มองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในทางบวก ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์มาก เนื่องจากนักธุรกิจจีนสหรัฐต่างประหนักในผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ ล่าสุดนักลงทุนจากจีนเข้ามายื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการรส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยยังมีโอกาสในการเป็นฐานการผลิตสินค้าส่งออกได้ทั้งกลุ่มตลาดอาเซียนและตลาดสหรัฐได้ บริษัทจากสหรัฐซึ่งมีโรงงานทั้งในประเทศจีนและไทยกำลังพิจารณาโอกาสที่จะเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศไทยเพื่อส่งออกไปยังจีนและสหรัฐได้ ด้านผู้ประกอบการไทยตื่นตัวไม่นิ่งนอนใจ และให้ความสนใจที่จะหาลู่ทางให้ประเทศไทยเป็นตัวกลางในการส่งออกสินค้าไปได้ทั้งภูมิภาคอาเซียน จีน และส่งออกไปสหรัฐด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังไม่ให้การย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจากจีนและสหรัฐไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของไทยแทน อีกส่วนคือ บริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในจีนขณะนี้ทยอยออกมาลงทุนในอาเซี่ยนและประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าไม่มั่นใจว่า การผลิตในจีนจะส่งออกไปสหรัฐได้หรือไม่ 

สินค้ากลุ่มที่จะได้รับผลดีส่งออกเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตได้แก่ สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะนี้อยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยง แต่ถ้าหากย้ายเข้ามาผลิตในประเทศไทยได้จะได้ผลบวก ขณะเดียวกันยังมีสินค้าเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะมีการเข้ามาผลิตในประเทศไทยมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยอำนวยความสะดวกในการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจีนและสหรัฐที่จะย้ายฐานการผลิตเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย และช่วยให้เกิดการจ้างแรงงานไทยเพิ่มขึ้นด้วย


“ผมมองในมุมบวกมากกว่า  ประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมาก ด้านท่องเที่ยวต่างชาติก็ต้องการเข้ามาทำธุรกิจด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเมืองก็ขอให้เดินหน้าไปแต่ขอให้ข้าราชการนักธุรกิจทำงานอย่างเข้มแข็ง ทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้ โดยมองเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตบวกลบที่ร้อยละ 4 ส่วนส่งออกปีนี้โตประมาณร้อยละ 4-6 ตามกรอบที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันประเมินไว้” นายกลินท์ กล่าว

นายกลินท์ มองการตั้งรัฐบาลใหม่ว่า การตั้งรัฐบาลคงจะเสร็จประมาณ 1 เดือนข้างหน้า แต่ที่สำคัญขอให้ความสำคัญประเทศชาติประชาชนเป็นสำคัญ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ของเล่นของใคร ผู้ที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยและเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยก็จะมีความสุข ผู้ประกอบธุรกิจได้เงิน นักท่องเที่ยวมีความสุข คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น ทุกอย่างขยับสู่ดิจิทัลมากขึ้น ด้านการศึกษาเริ่มปรับปรุงดีขึ้น ในอนาคตค่อยเป็นค่อยไป และเรื่องความสงบเรียบร้อยความปลอดภัยและช่วยกันเป็นเรื่องสำคัญ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) สงครามการค้าจีน-สหรัฐกระทบกับเศรษฐกิจโลกด้วย สำหรับประเทศไทยผลิตภัณฑ์ส่งออกใดยังพึ่งพิงการส่งออกไป 2 ประเทศดังกล่าว ก็จะกระทบตามไปด้วย แต่ถ้าอุตสาหกรรมที่ไทยเป็นคู่แข่งกับจีน จะได้รับผลกระทบในทางบวกมากกว่า ส่วนภาพรวมผลกระทบทั้งหมดกับอุตสาหกรรมไทย ส.อ.ท.อยู่ระหว่างศึกษาว่าจะมีอุตสาหกรรมใดบ้างที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่ส่งออกมาจากประเทศจีน


สำหรับสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยดูแลนั้น ได้แก่ ช่วยผลักดันการค้าประเทศอื่นๆ มากขึ้น โดยเดินหน้าเจรจาเดินหน้าข้อตกลงเขตเสรีการค้าหรือ FTA กับประเทศคู่ค้าต่างๆ มากขึ้น เช่น  FTA ไทย-อินเดีย เป็นต้น และท่ามกลางเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวลง และจีนกับสหรัฐยังทำสงครามการค้าสลับกับการเจรจากันไปอย่างนี้ ตราบใดที่สหรัฐยังคงขาดดุลการค้ากับสหรัฐแม้จะพยายามกีดกันการค้ากับจีนแล้วก็ตาม ดังนั้นจึงคาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้จะโตได้ในกรอบร้อยละ 3-5 

“วันนี้เป็นโอกาสที่จะส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย อยากให้เร่งดำเนินการ ชักจูงการลงทุนจากประเทศอื่นๆ ที่ทำการค้ากับจีนและสหรัฐ ให้เข้ามาขยายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เช่น นักลงทุนจากญี่ปุ่น ยุโรป อินเดียและจีน แต่ต้องวางมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ”นายสุพันธุ์ กล่าว

ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล ต้องการให้ฝ่ายการเมืองมีการเจรจาตกลงกันอย่างรวดเร็ว และจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะจะช่วยให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนและเศรษฐกิจดีขึ้น สำหรับภาพรวมการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ กกร.คาดการณ์ไว้ 3.7-4 ซึ่งกกร.จะทบทวนตัวเลขอีกครั้งในเดือนก.ค.นี้ภายหลังได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ปิดล้อมกว่า 8 ชม. จับหนุ่มคลั่งควงปืนสงครามขู่ยิง ตร.

ศรีสะเกษ 17 ก.ย. – พ่อค้ายาเสพติดคลุ้มคลั่ง ควงปืนสงคราม AK-47 ขู่ยิงเจ้าหน้าที่ หลังถูกชุดปฏิบัติการ 238 พิทักษ์นครลำดวน สนธิกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบ้านเป้าหมายพื้นที่ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ เกลี้ยกล่อมนานกว่า 8 ชั่วโมง สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมวางอาวุธมอบตัวแต่โดยดี เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อมนายวีระศักดิ์ อายุ 35 ปี มีประวัติพัวพันการค้ายาเสพติด ครอบครองอาวุธสงคราม และยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งวิ่งเข้าไปหลบภายในบ้าน ต.หนองกุง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ หลังตำรวจแสดงตัวเข้าตรวจค้น เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ มีพฤติกรรมอุกอาจ แต่นายวีระศักดิ์กลับวิ่งไปหยิบอาวุธปืนสงคราม AK-47 ออกมาขู่เจ้าหน้าที่ พร้อมตะโกนด้วยเสียงดุดันว่าถ้าเข้ามาจะยิง จากนั้นรีบหลบกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันเหตุร้าย บรรยากาศตึงเครียด เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อม ทั้งให้พ่อแม่และญาติสื่อสารทางโทรศัพท์ หวังให้ผู้ต้องหายอมมอบตัวแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากนายวีระศักดิ์ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาบ้า ถือปืนพร้อมยิงตลอดเวลา นานกว่า 8 ชั่วโมง […]

ช่องโดนเอาว์เจอ PMN-2 อีก 8 ทุ่น ทบ.ชี้เขมรยังละเมิดข้อตกลง

17 ก.ย.- ทบ. แจงตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 8 ทุ่นบริเวณช่องโดนเอาว์ จ.ศรีสะเกษ ชี้กัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ย้ำควรรับผิดชอบและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ วันนี้ (17 ก.ย.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังจากที่กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 132 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ วานนี้ (16 ก.ย.68) โดยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก มีสภาพใหม่ ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน ซึ่งทางหน่วยได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บเพื่อรอการทำลายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการตรวจพบระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละในการใช้อาวุธต่อกำลังของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับข้อตกลงที่กัมพูชาได้ให้ไว้ในที่ประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ในเรื่องความร่วมมือที่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งจากนี้กองทัพบกจะนำหลักฐานที่ได้ตรวจพบทั้งหมดในพื้นที่ รวบรวมนำส่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร้องเรียนตามกระบวนการในเวทีสากลต่างๆ ต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือกัมพูชา […]

ไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เขมรป่วนไม่เลิก

17 ก.ย.- เปิดไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง หลังชาวเขมรชุมนุมประท้วง ก่อความวุ่นวาย ล่าสุดสถานการณ์ทั่วไปอยู่ในความควบคุม แต่กลุ่มชาวกัมพูชายังคงปักหลักใกล้แนวชายแดน.-สำนักข่าวไทย

ทำเนียบฯ เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่

ทำเนียบ 17 ก.ย.- ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่ ถ่ายรูปติดบัตร ก่อนถวายสัตย์ปฏิญาณ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน และยังมีการตัดแต่งต้นไม้ บริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาล และตัดหญ้าด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา และวันนี้มีการส่งทีมงานเข้ามาดูห้องทำงานภายในตึกบัญชาการ 1 ด้วย สำหรับตำแหน่งว่าที่รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลอนุทิน มีชื่อทั้งหมด 7 คน ได้แก่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี และนายโสภณ​ ​ซา​รัมย์​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​ ขณะที่ตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี […]