ส.อ.ท. 15 ก.ย.- ส.อ.ท.เรียกร้องรัฐบาลตรวจเชิงลึกส่งออกทองคำไปกัมพูชา ทั้งผู้ซื้อ-ที่มาเงิน ระบุดูแลเงินบาทแข็งค่า กระทบส่งออก-tariff เสียเปรียบคู่แข่งอย่างเวียดนาม ระบุเหมาะสมที่ 34-35 บาท/ดอลลาร์ฯ วอนช่วยเอสเอ็มอี haircut หนี้-ขยายวงเงิน เยียวยาผู้ประกอบการ หลังปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยืดเยื้อ
ประธาน ส.อ.ท. เสนอรัฐบาลดูรายละเอียดภาษีสหรัฐรายอุตสาหกรรม ใช้ RVC – local content /มาตรการดูแลสินค้าเข้าไทยหวั่นกระทบเพิ่มถึง 30 กลุ่มอุตสาหกรรม / ช่วยเอสเอ็มอี haircutหนี้-ขยายวงเงิน/ เยียวยาผู้ประกอบการหลังปัญหาชายแดนไทยกัมพูชายืดเยื้อ/ เงินบาทแข็งค่ากระทบส่งออก-และ tariff เสียเปรียบคู่แข่งอย่างเวียดนาม ระบุ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เป็นระดับเหมาะสม /ส่วนเรื่องตัวเลขส่งออกทองคำไปกัมพูชา ต้องการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเกิดจากอะไร ตรวจเชิงลึกผู้ซื้อ-ที่มาเงิน
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และคณะ ว่า ได้มีการหารือและรับฟังแนวคิดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและปัญหาต่าง ๆ ที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ โดยภาคเอกชนเรียกร้องให้หลังจากที่มีการโปรดเกล้าฯ แล้วรัฐบาล เริ่มทำงานได้ทันที เพราะทุกนาทีมีความหมาย โดยในที่ประชุมภาคเอกชนได้สะท้อนหลายเรื่อง

เรื่องแรกคือ กฎหมายภาษีสหรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับ Regional Value Content (RVC) หรือการคำนวณสัดส่วนของ มูลค่าที่ผลิตในภูมิภาค และ Local content ที่ระบุสัดส่วนวัตถุดิบหรือมูลค่าที่ผลิตในประเทศ ที่ไทยจะต้องเจรจากับสหรัฐ เพราะแม้จะมีอัตราภาษีออกมาที่ชัดเจนแล้ว แต่ Local content จะต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดกับสหรัฐต่อว่าจะกำหนดมาตรฐานแบบใด อุตสาหกรรมใดทำได้หรือไม่ได้ รวมถึงรัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร
ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า โดยเฉพาะปัญหาสินค้าราคาถูกทะลักเข้าไทย กระทบเอสเอ็มอีไทย 24 กลุ่มอุตสาหกรรม ในปี 2566 ซึ่งหากปี 2568 รัฐบาลไม่มีมาตรการที่เหมาะสม คาดว่าจะส่งผลกระทบขยายเพิ่มเป็น 30 อุตสาหกรรม
ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ถือว่าเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด ท่ามกลางสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับที่สูง ส่งผลการเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาแก้ปัญหาให้ตรงจุด เช่น การ Haircut หนี้ และการขยายวงเงินสินเชื่อ โดยเฉพาะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่กดดันกำลังซื้อของคนในประเทศ
ส่วนปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อ supply chain ในภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันภาคเอกชนแก้ไขปัญหากันเอง แต่ก็ต้องเจอปัญหาต้นทุนสูง อย่างไรก็ตาม เอกชนเข้าใจเรื่องการรักษาอธิปไตยของประเทศ ยืนยันว่าไม่ได้กดดันการทำงานของภาครัฐ เพียงแค่อยากให้มีมาตรการเยียวยาให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ ระหว่างที่รัฐยังเจรจาหาข้อยุติปัญหา
นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเมดอินไทยแลนด์ ที่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2566 โดยอยากให้รัฐบาลผลักดันโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพิ่มสัดส่วนการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยจากปัจจุบัน 5% เป็น 10-20% พร้อมเสนอให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็น 2 เท่า สำหรับการซื้อสินค้าเมดอินไทยแลนด์ รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ส่งออกใช้สินค้าของไทยเป็นวัตถุดิบในการผลิตมากขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหา RVC และ Local Content ได้
เรื่องพลังงาน เอกชนอยากเรียกร้องให้รัฐบาล ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศจะเพิ่มต้นทุนถึง 58% แต่มองว่า Pool Gas ก็ยังไม่เหมาะสม เพราะว่าช่วยลดต้นทุนได้แค่ 2-3% เท่านั้น ซึ่งทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถแข่งขันได้
ขณะที่โครงการคนละครึ่ง นายเกรียงไกร กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลทำต่อไป เพราะมองว่าเป็นมาตรการที่ดี นอกจากนี้ยังเสนอให้กรมศุลกากรมีมาตรการที่เข้มงวดดูแลในเรื่องสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานลักลอบเข้ามาในประเทศหรือสำแดงไม่ตรงปก ให้มีการตรวจตรามากขึ้น
นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นมาถึง 7% เกือบสูงสุดในภูมิภาค รองจากประเทศไต้หวันเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ที่ผู้ประกอบการไทยค่อนข้างกังวล เนื่องจากกระทบการส่งออก เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ที่ตั้งแต่ต้นปีค่าเงินเวียดนามอ่อนตัวลงไป 3% ส่งผลกระทบให้ไทยเสียเปรียบในเรื่องของการส่งออกกับประเทศคู่แข่งทางการค้า เพราะไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกถึง 60% ของ GDP นอกจากนี้ยังกระทบภาคการท่องเที่ยว โดยมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ 34 – 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี จะส่งคณะทำงานเข้ามาหารือกับสภาอุตสาหกรรมฯ เพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาค่าเงินบาทล่วงหน้า ก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาทำงานเต็มตัว
ส่วนกรณีที่ กกร. พบว่าไทยส่งออกทองคำไปยังกัมพูชามีสัดส่วนสูงผิดปกติ โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก ปี 2566 ถึง 10 เท่า หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 105,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 ช่วง 7 เดือนแรก ส่งออกไปแล้ว 71,000 ล้านบาท และเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่มีสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่าเดือนเดียวมีการส่งออกทองคำไปถึง 8,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่า การออกมาให้ข้อมูลนั้น เพื่อให้รัฐบาลมีการตรวจสอบให้ชัดเจน ซึ่งทราบว่าวันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หารือร่วมกับสมาคมค้าทองคำ
อย่างไรก็ตาม แม้กรมศุลกากรและกระทรวงพาณิชย์จะออกมายืนยันว่า การส่งออกทองคำไม่มีความผิดปกติ นั้น แต่ภาคเอกชนอยากให้มีการตรวจสอบเชิงลึก ไปถึงผู้ซื้อและที่มาของเงิน เนื่องจากเคยเกิดกรณีศึกษา อย่าง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และดูไบ ที่มีการซื้อขายทองคำในสกุลดอลล่าร์และนำกลับมาแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินของตัวเอง ส่งผลให้ค่าเงินของทั้งสองประเทศแข็งค่า จนส่งผลต่อเศรษฐกิจเช่นกัน จึงอยากให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปให้ชัดเจน มิฉะนั้น ก็จะทำให้การแก้ปัญหาค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าอยู่ขณะนี้ ทำได้ไม่ตรงจุด และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะยาวได้.-516-สำนักข่าวไทย