กรุงเทพฯ 17 ก.ย. – ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ส.ค.68 ติดลบต่อเนื่อง พอใจดรีมทีมเศรษฐกิจ หวังฟื้นความเชื่อมั่น จับตา “คนละครึ่ง” พยุงกำลังซื้อปลายปี
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยนางสาวบัญชุสา พุทธพรมงคล กรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และรองประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ ส.อ.ท. แถลงว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม 68 เท่ากับ 86.4 ลดลงจาก 86.6 นับว่าลดลงติดต่อกันหลายเดือน เพราะการสอบถามในช่วงนั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ตัดสิน นายกฯ แพทองธาร จึงมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งปัญหาภาษีนำเข้าสหรัฐถูกเก็บร้อยละ 19 และยังถูกเก็บภาษี TRANSSHIPMENT ร้อยละ 40 ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดความเสียหาย 1.4 หมื่นล้านบาท ปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือจากพายุคาจิกิ
ภาคอุตสาหรรม ยอมรับว่า การคัดเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งทีมเศรษฐกิจได้ดี สร้างความน่าเชื่อถือให้กับภาคเอกชน นอกจากการหารือกับสภาอุตสหากรรมฯ แล้ว นายกฯ ยังมอบหมายให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ หารือในวงเล็กเพิ่มเติมเพื่อลงรายละเอียดกับสภาอุตสาหกรรมฯ เพื่อนำไปกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ นับว่าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ถือเป็นเสือปีนไวมาก เร่งมารับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชน เพื่อนำไปหาแนวทางแก้ไข รอลุ้น “คนละครึ่ง” จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงปลายปี

สำหรับนโยบายเร่งด่วนแก้ปัญหา 5 ด้าน จากข้อเสนอของสภาอุตสหากรรม ทั้งด้าน 1.ภาษีสหรัฐฯ & สินค้าทุ่มตลาด ความเสี่ยง Transshipment Tax 40% ปัญหาสินค้าทุ่มตลาดจากจีนสะท้อนผ่านมูลค่าการนำเข้า–ส่งออกที่ผิดปกติ โดยเอกชนต้องการเร่งทำความเข้าใจกฎ RVC (Regional Value Content) การหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ & ส่งเสริม Local Content การผลักดัน “Made in Thailand”
2.สภาพคล่อง SMEs จาก SMEs จ้างงาน 13.4 ล้านคน (68.8%) ของประเทศ มีปัญหา-NPL พุ่งสูงถึง 243,026 ล้านบาท (มิ.ย. 68) เอกชนจึงเสนอ Fast Track Loan ค้ำประกันโดย บสย. อนุมัติ 3–7 วัน มีสินเชื่อSoft Loan ดอกเบี้ย 1% วงเงิน 5–10 ลบ. การHair Cut หนี้เสียจากโควิด-19 & ปัญหาชายแดน
3.พลังงาน ค่าไฟไทย 4.18 บาท/หน่วย สูงกว่า มาเลเซีย (1.80) และเวียดนาม (3.57) ไทยต้องพึ่งพา LNG & สำรองไฟฟ้าเกินความต้องการถึง 52% ข้อเสนอเอกชน ไม่ผลักภาระค่า LNG ให้ภาคอุตสาหกรรม เร่งทำ PDP ใหม่ ภายในปี 68 เปิดเสรีไฟฟ้า (Renewables Auction, Direct PPA) ลดเงินประกันใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า
4.ปัญหาการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ลดลงหนัก เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคลดลง -60–90% / อุตสาหกรรม -70–90% ผู้ประกอบการต้องหันไปใช้ทางเรือ–ทางอากาศ ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น 4–8 เท่า จึงเสนอ ระยะเร่งด่วน ขอให้เพิ่มเที่ยวเรือขนส่ง + ค่าใช้จ่ายขนส่งหักภาษีได้ 2 เท่า ระยะสั้น ขอให้จัด Soft Loan + สิทธิประโยชน์ BOI เพื่อทดแทนนำเข้า
5.ปัญหาเงินบาทแข็งค่า โดยแข็งค่า 7.34% YTD มากกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค จนทำให้ผู้ส่งออกกระทบหนัก จึงเสนอ ศึกษาผลกระทบทองคำ & คริปโต ต่อค่าเงิน ส่งเสริมการใช้สกุลท้องถิ่น (Local Currency Settlement) ลดค่าธรรมเนียม Hedging กระตุ้นการบริหารความเสี่ยง
ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการ ยังกังวลการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ความต้องการสินค้าของประเทศคู่ค้าลดลง จนกระทบต่อการส่งออกของไทย และปัญหาในเรื่อง ผลกระทบภาษีของสหรัฐ ร้อยละ 19 แต่ยังมีปัญหา โดยสหรัฐ อ้างว่า ต้องเก็บภาษี TRANSSHIPMENT ร้อยละ 40 สำหรับสินค้าจากประเทศอื่น เข้ามาผลิตสินค้าโดยใช้ส่วประกอบของไทยพียงเล็กน้อย และอ้างว่าเป็นสินจากไทย ภาคเอกชนจึงแนะให้รัฐบาลเร่งเจรจาในรายละเอียดกับสหรัฐ เป็นรายอุตสาหกรรม เพื่อใช้คำนวณ RVC – local content ให้ชัดเจนว่าต้องใช้สัดส่วนร้อยละ 40%-50%-60% ในการคำนวณใช้ส่วนประกอบ
ภาคเอกชนเสนอให้เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 68 ผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ควรได้รับการเยียวยาผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการนำส่งสินค้าทางอ้อมไป สปป.ลาว-กัมพูชา ภาระต้นทุนขนส่งเหล่านี้ ควรได้รับการลดหย่อนภาษี 2 เท่า การมุ่งสู่นโยบายเศรษฐกิจสีเขียว ปรับปรุงวัสดุเหลือใช้ นำมาผลิตสินค้าใหม่ เช่น ทรายหล่อแบบ น้ำเสียภาคอุตสาหกรรม หากนำมาหมุนเวียนใช้ใหม่ ควรมีมาตรการส่งเสริม ปรับให้สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน. -515 -สำนักข่าวไทย