เสนอรัฐจำกัดการใช้รถยนต์ย่านรถติด แก้ฝุ่นพิษระยะยาว

กทม.18 ม.ค.-นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ แนะทางออกปัญหาฝุ่น PM 2.5 เสนอรัฐแก้ทั้งระบบ ควบคุมการใช้รถยนต์ในพื้นที่จราจรติดขัด ปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ น้ำมัน จูงใจให้ใช้พลังงานสะอาด


สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เปิดเวทีเสวนาหัวข้อ ‘PM 2.5 ผลร้ายการพัฒนา สวนทางความยั่งยืน’ โดยเชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาเมือง มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ความคิดเห็น  ต่อปัญหาค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน  ที่คนกรุงกำลังเผชิญ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ทุกชนิด โดยเฉพาะรถยนต์ดีเซล


รศ.จำนง สรพิพัฒน์ กรรมการบริหารสมาคมวิจัยวิทยาการขนส่งแห่งเอเชีย เผยสถิติเฉลี่ยความเร็วรถยนต์ในช่วงเวลาเร่งด่วนระหว่างปี 2551-2560 พบพื้นที่ชั้นนอกลดลงถึงร้อยละ 22 สะท้อนปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มสูง ขึ้นต่อเนื่อง แบ่งเป็น รถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ต่อปี รถบรรทุกส่วนบุคคลก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ต่อปี ซึ่งข้อมูลล่าสุดพบจำนวนรถจดทะเบียนในกรุงเทพฯ สูงกว่า 5 ล้านคัน เป็นรถเบนซินร้อยละ 48 รถดีเซลร้อยละ 38 และรถอื่นๆ อีกร้อยละ14 ดังนั้นภาครัฐควรออกมาตรการจำกัด การใช้รถยนต์ ในพื้นที่ที่มีการจราจรติดขัด ควบคู่กับการกำหนดรูปแบบขนส่งสาธารณะ พัฒนาผังเมืองใหม่ ลดการใช้รถยนต์ในการเดินทางจึงจะแก้ปัญหามลพิษทางอากาศได้ในระยะยาว 


ด้าน ผศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ในเมืองกรุงประสบกับปัญหามลพิษมานานแล้ว แต่สังคมเพิ่งตื่นตัว ที่ผ่านมารัฐมีระบบเตือนภัยมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากย้อนดูผังเมือง กทม.เมื่อปี 2556 จะพบว่าสภาพอากาศที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน อยู่บริเวณที่อยู่อาศัยหนาแน่น ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เป็นนโยบายรัฐ ที่มุ่งพัฒนาเมืองหลวงให้กระชับมีแต่ตึกสูง ดังนั้นการวางผังเมืองหลังจากนี้ ภาครัฐควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ตัวแปรของแต่ละพื้นที่ ทั้ง ลม ความร้อน พร้อมกับเพิ่มพื้นที่สีเขียว 

ขณะที่นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ ระบุทางออกของปัญหามลพิษ PM 2.5 ภาครัฐควรสร้างระบบตรวจจับควันดำ ระงับการใช้รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอย่างต่อเนื่อง ปรับโครงสร้างภาษีประจำปีรถยนต์ ให้สะท้อนกับประสิทธิภาพการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาด มุ่งเน้นพัฒนาเมืองให้เป็น Compact City ลดการเดินทางของประชาชน ตลอดจนใช้กลไกคณะกรรมการ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน .-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

ล้มล้างการปกครอง

ศาล รธน.มีมติเสียงข้างมากไม่รับคำร้อง “ทักษิณ-พท.” ล้มล้างการปกครอง

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากไม่รับคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” ล้มล้างการปกครอง

คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญถกคำร้อง “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างฯ

จับตา ศาลรัฐธรรมนูญ “รับ/ไม่รับ” คำร้องปม “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” ใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่

อุตุฯ เผยเหนือ-อีสาน อากาศเย็นในตอนเช้า ภาคใต้ฝนตกหนักบางแห่ง

กรมอุตุฯ เผยภาคเหนือ ภาคอีสาน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ