รัฐสภา 14 ส.ค.- สภาฯ ถกร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 วันที่ 2 “สส.ปชน.” ซัดงบกระทรวงเกษตรฯ ไม่ตอบโจทย์คนไทย ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้ ข้องใจ ทำไมต้องทำโครงการตลาดกลางที่พะเยา ทั้งที่มูลค่าส่งออกแพ้เชียงราย-น่าน เสี่ยงผูกขาด หรือเป็นเหตุผลทางการเมือง ฉะ “ล้งแห่งชาติ” ของ อ.ต.ก. ล้มเหลวงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระ 2 – 3 เป็นวันที่ 2 โดยพิจารณามาตรา 14 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานในกำกับ โดยนายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณในส่วนขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) ว่า มีสองโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ให้กับคนไทยทั้งประเทศ และเสี่ยงต่อการใช้เงินภาษีอย่างไม่คุ้มค่า เสี่ยงต่อการล้มเหลวของโครงการ ได้แก่โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา และโครงการล้งแห่งชาติ
นายวิทวิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา ปีงบ69 อ.ต.ก. ของบทั้งหมด 84,623,500 บาท เพื่อสนับสนุนการตลาดให้กับเกษตรกร แต่มีจำนวน 41,321,500 บาท ถูกเทไปในพื้นที่เดียวคือ จ.พะเยา ภาพรวมของโครงการนี้ ถ้าแล้วเสร็จจะใช้งบประมาณสูงถึง 168,169,000 บาท ตนขอถามตรงๆ ว่า ทำไมลงต้องลงไปที่ จ.พะเยา ทำไมต้องกระจุกงบประมาณไปที่จังหวัดเดียว ในเมื่อภาษีเป็นของคนทั้งประเทศ และภาคเหนือตอนบนมีถึง 8 จังหวัด แต่กลับทุ่มงบประมาณหลายสิบล้านบาทไปที่ตลาดกลางเพียงจังหวัดเดียว และเมื่อดูมูลค่าการส่งออกของสินค้าเกษตรของจ.พะเยาไปยังประเทศลาว ต่ำกว่าจ.เชียงรายและน่าน มากกว่า 3 เท่า และสินค้าเกษตรหลักที่ประเทศลาว นำเข้าจากประเทศไทยได้แก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวเปลือก ผลไม้สด จ.พะเยา มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยกว่า 8 %เมื่อเทียบกับการค้าชายแดนของภาคเหนือ และระบบโลจิสติกส์ก็อยู่ที่จ.เชียงรายและน่าน ไม่ใช่ที่จ.พะเยา และระยะทางจากพะเยาไปชายแดนไกลกว่า ทำให้ต้นทุนสูงกว่า

“คำถามคือใครได้ประโยชน์จากการเลือกโครงการที่ลงที่ จ.พะเยา การเลือกครั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจจริงๆ หรือการเมือง เพราะหากจะสร้างตลาดกลางที่ภาคเหนือจริงๆต้องกระจายไปหลายจังหวัด เชื่อมโยงกันด้วยระบบโลจิสติกส์และการส่งขนส่งเย็น ไม่ใช่ปักเสาหลักกองเดียว แล้วบอกว่านี่คือโครงการเพื่อพี่น้องทั้งภูมิภาค และถ้าโครงการนี้สำเร็จก็จะเสี่ยงต่อการเป็นตลาดผูกขาด เกษตรกรจังหวัดอื่นต้องแบกภาระต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายเกษตรกรก็ต้องขายสินค้าให้คนกลางในราคาถูกอยู่ดี ถ้าโครงการนี้ไม่สำเร็จก็จะกลายเป็นตลาดล้างทำให้ภาษีของประชาชนหลาย 100 ล้านบาท ถูกเททิ้งลงคลองเหมือนเดิม” นายวิทวิสิทธิ์ กล่าว
นายวิทวิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนโครงการล้งแห่งชาติ อ.ต.ก.ตั้งงบฯ 11,612,000 บาท เพื่อศึกษาต้นแบบการสร้างล้งแห่งชาติ โดยให้ อ.ต.ก.ทำหน้าที่เป็น เอกชน ซึ่งเสี่ยงที่จะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ารัฐวิสาหกิจมีขั้นตอนการอนุมัติในการจัดซื้อจัดจ้างที่ล่าช้า และเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีทักษะเชิงพาณิชย์ ทำให้ขายสินค้าไม่ได้มูลค่าเต็มจำนวน และโครงการก็ต้องพึ่งพางบประมาณของรัฐเป็นหลัก ถ้าถูกตัดงบฯโครงการนี้ก็จะหยุดชะงักทันที จะเห็นได้ว่าโครงการล้งแห่งชาติ คือโครงการที่ไม่ตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ เสี่ยงต่อการกระจุดงบประมาณ การผูกขาด และการล้มเหลวงของโครงการ ตนจึงขอให้ตัดลดงบประมาณ 2 โครงการนี้ทันที และให้รัฐบาลนำเงินไปสร้างโครงการที่ครอบคลุมตรงจุดและตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่โครงการที่ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้
นายเลาฟั้ง บัณทิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปราย ว่า ทุกวันนี้ราคาสินค้าเกษตร ยกเว้น ทุเรียน ราคาตกต่ำทุกอย่าง ตั้งแต่ผักพืชหัว ผลไม้ เช่น ส้ม มังคุด ลำไย และข้าว ราคาตันละ 5,000 บาท รวมถึงข้าวโพด
นายเลาฟั้ง กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศเกษตรกรรม มีครอบครัวเกษตรกร 7.6 ล้านครัวเรือน ประมาณ 65% ปลูกพืช แต่กลับพบว่า ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ มีผักที่ปลูกโดยเกษตรกรไทยวางขายน้อย และราคาสินค้าอาหารในตลาดยังแพง และเกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อยขาดทุนย่อยยับ
ทั้งนี้ นายเลาฟั้ง พบว่า มี 6 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเกษตรโดยตรง มีงบประมาณรวมกันกว่า 18,000 ล้านบาท แต่พบว่า มีงบที่ใช้ส่งเสริมและพัฒนาด้านการเกษตร ดำเนินการด้านเผยแพร่ วิจัยและพัฒนา ซื้อวัสดุการเกษตรและอบรม สัมมนา ใช้งบไปเพียง 1,510 ล้านบาท หรือเพียง 8% ของงบทั้งหมด
ทั้งนี้ นายเลาฟั้ง กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการพูดถึงการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน แต่ขณะที่เกษตรกรต้องสู้กับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ต่างชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำอะไรบ้าง จึงอยากจะตั้งคำถามว่า 1.บรรดาโครงการ วิจัย อบรม สัมมนา แจกวัสดุการเกษตร จะทำให้ความฝันในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตรเป็นจริงได้หรือไม่
2.หากตัดงบอบรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้งหมดจะกระทบต่อเกษตรกหรือไม่ และ 3.ต้องให้สถานการณ์เลวร้ายขนาดไหน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะยอมตื่นเสียที.-315 -สำนักข่าวไทย