เร่งปฏิรูปกม.ตลาดทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ฟื้นเชื่อมั่น

กรุงเทพฯ 7 มี.ค.- วงเสวนา ฟื้นเชื่อมั่นตลาดทุนทุกฝ่ายเห็นร่วมต้องเร่งปฏิรูปกฎหมายตลาดทุน เพิ่มประสิทธิภาพกำกับดูแล ลดอุปสรรคธุรกิจ โดยทีดีอาร์ไอ เสนอทบทวน กฎระเบียบตลาดทุน 138 เรื่อง 332 สามารถลดต้นทุนค่าเสียโอกาสได้ถึง 943 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ ปธ.บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ ชี้ ต้องปฏิรูปกม.ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง หนุนตรากม.แบบ Omnibus ด้าน “ดร.กอบศักดิ์” ระบุ ตลาดทุนไทยเผชิญความท้าทายหนัก แนะ สร้างกลไกกำกับดูแลที่มีคุณภาพคู่ส่งเสริมการแข่งขัน


ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) จัดงานสัมมนาสาธารณะ “กิโยตินกฎระเบียบ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทย” เพื่อนำเสนอผลการทบทวนกฎระเบียบตลาดทุนไทย และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคส่งผลต่อการแข่งขัน รวมทั้งข้อเสนอในการปฏิรูปกฎหมายเพื่อปรับปรุงกลไกการกำกับดูแลและส่งเสริมการแข่งขันในตลาดทุน

นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลท. เตรียมเสนอผ่าน รมว.คลัง ให้ใช้เครื่องมือทางกฎหมายแบบ Omnibus หรือการพิจาณาแก้กฎหมายอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับในประเทศอื่น ๆ เช่น กรณีประเทศสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อให้กระบวนการแก้ไขกฎหมายทำได้รวดเร็วขึ้น และสามารถแก้ไขไปพร้อมกับสถานการณ์ที่เกิดวิกฤตตลาดทุนไทยได้เลย ซึ่งปัจจุบันตลาดทุนไทยเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก เชื่อว่าการปฏิรูปกฎหมาย หรือการกิโยตินกฎระเบียบตลาดทุนจะเป็นหัวใจสำคัญ ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้ ยังช่วยลดต้นทุน อำนวยความสะดวกให้นักลงทุน ช่วยให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นว่าผู้กระทำผิดจะได้รับลงโทษอย่างจริง และผู้เสียหายจะได้รับการเยียวยาช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ช่วยสร้างความโปร่งใส ความยุติธรรมในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เคยมีข้อเสนอแนะในการออกแบบกฎหมายกำกับดูแลตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพว่าจะต้องความเข้าใจลักษณะของตลาด มีวัตถุประสงค์ของนโยบายที่ชัดเจน ออกแบบและบังคับใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เกิดการบูรณาระหว่างหน่วยงาน และทบทวนปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


“การปฏิรูปกฎหมายจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดทุน แต่ถือเป็นภารกิจที่ท้าทายที่หากทุกภาคส่วนร่วมมือก็จะช่วยสร้างระบบกฎหมายที่เป็นธรรม โปร่งใส และยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลงในตลาดทุนได้” นายกิติพงศ์ ระบุ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และอุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ตลาดทุนไทยเผชิญความท้าทายจากปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนธุรกิจใหม่ที่ดึงดูดนักลงทุน และอุปสรรคในด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในตลาดทุนซึ่งกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้แม้ว่าตามหลักการกฎหมายกำกับดูแลตลาดทุน มีความสำคัญในการคุ้มครองนักลงทุน ควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และรักษาความเชื่อมั่นของตลาด แต่ในขณะเดียวกันการมีกฎหมายที่สร้างต้นทุนเกินสมควรในการประกอบธุรกิจ รวมถึงการขาดกฎหมายที่มีประสิทธิภาพในการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน และการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายอย่างทันท่วงทีก็กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพของตลาดทุนไทยด้วยเช่นกัน

“ดังนั้นแล้วการปฏิรูปกฎหมายเพื่อสร้างกลไกกำกับดูแลที่มีคุณภาพควบคู่กับการส่งเสริมการแข่งขันในตลาดทุนจึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นและสนับสนุนให้ตลาดทุนไทยสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน” นายกอบศักดิ์ กล่าว


ดร.กิรติพงศ์ แนวมาลี หัวหน้าโครงการกิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยผลการศึกษาวิเคราะห์ ทบทวนกฎ ระเบียบ ประกาศ และข้อบังคับที่เกี่ยวกับการอนุญาตที่ไม่จำเป็น หรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจในตลาดทุนไทย (กิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน) ว่า ทีดีอาร์ไอได้ใช้เวลาศึกษา 2 ปี โดยให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยได้ทบทวนปัญหาการปฏิบัติตามกฎหมายด้านตลาดทุน 138 เรื่อง 332 กระบวนงาน

แบ่งได้ดังนี้ กระบวนงานในส่วนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 71 กระบวนงาน สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) 53 กระบวนงาน สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) 2 กระบวนงาน สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (TLCA) 23 กระบวนงาน บริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) 105 กระบวนงาน สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) 16 กระบวนงาน สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) 7 กระบวนงาน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สมาชิก FETCO 55 กระบวนงาน

ยกตัวอย่างจากข้อเสนอ 3 มาตรการยกระดับความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยดังนี้

1.มาตรการเพิ่มความสะดวกและยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน เช่น การส่งนัดประชุมผู้ถือหุ้น ที่ควรปรับให้การส่งหนังสือเชิญประชุมทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นช่องทางหลักจากเดิมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือหุ้นก่อน ความซ้ำซ้อนการยืนยันตัวตน KYC ให้สามารถดำเนินการเพียงครั้งเดียวผ่านระบบกลาง เช่น NDID หรือระบบอื่นๆ และสามารถใช้ได้กับทุก บล. และ บลจ. และการติดและตรวจสอบอาการแสตมป์บนหนังสือมอบฉันทะของผู้ถือหุ้น เสนอว่าควรยกเลิกการติดอากรแสตมป์กรณีดังกล่าว

ส่วนการขาดเครื่องมือในการกำกับสำนักงานสอบบัญชีตลาดทุนนั้น เสนอให้แก้ไข พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ เพิ่มโทษปรับเป็นพินัย โดยให้อำนาจสำนักงาน ก.ล.ต. ปรับเป็นพินัยสำนักงานสอบบัญชีซึ่งค่าปรับสูงสุดต้องเพียงพอที่จะป้องกันการกระทำความผิด พร้อมออกแนวทางลงโทษผู้สอบบัญชีและสำนักงานสอบบัญชี รวมถึงแก้ไข พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ให้สำนักงานสอบบัญชีต้องขึ้นทะเบียนเป็นสำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุนกับสำนักงานก.ล.ต.ด้วย นอกจากนี้ยังมีประเด็นการพัฒนาปรับปรุงกลไกการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินคดีและปรับปรุงบทลงโทษให้รุนแรงเพียงพอสำหรับการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันไม่เป็นธรรม (Market Misconduct) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนด้วย

2.มาตรการเพิ่มความสะดวกและความเชื่อมั่นตลาดตราสารหนี้ เช่น ข้อจำกัดการโอน Scripless Saving Bond ระหว่างธนาคาร โดยเสนอให้แก้ไขหนังสือชี้ชวนให้สามารถโอนได้ การกำหนดให้ใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน แก้ไขระเบียบหน่วยงานผู้รับหลักประกันให้รองรับการใช้พันธบัตรไร้ใบตราสารเป็นหลักประกันได้ การขาดมาตรการคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยในหุ้นกู้คราวฟันดิงก์ ควรกำหนดให้ผู้ให้บริการคราวฟันดิงก์ต้องอำนวยความสะดวกและตั้งกองทุน การกำกับดูแลระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ออกและเสนอขายในและต่างประเทศ เสนอให้สำนักงานก.ล.ต. สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรฐานการให้ข้อมูลของผู้ประกอบธุรกิจตัวกลางโดยเฉพาะการขายผลิตภัณฑ์ต่างประเทศที่แตกต่างจากของไทยเพื่อให้นักลงทุนทราบข้อมูลความเสี่ยงแท้จริง

3.มาตรการการพัฒนากลไกการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการกระทำผิดคดีหลักทรัพย์ เช่น ปรับภูมิทัศน์ตลาดทุนด้วยการดำเนินคดีแบบกลุ่ม Class Action โดยเปิดให้มีองค์กรซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้เข้ามาดำเนินคดีแทนผู้เสียหาย การกำหนดแรงจูงใจของทนายความที่เหมาะสม การสนับสนุนด้านการเงิน การจัดการ ด้านความช่วยเหลือทางกฎหมาย และปรับกระบวนการทางศาลให้มีความกระชับเท่าที่จำเป็นและเป็นธรรมต่อคู่ความ

“ในจำนวนข้อเสนอทั้งหมดมี 22 เรื่องที่มีข้อมูลชัดเจนเพียงพอต่อการประเมินเป็นต้นทุนได้ ซึ่งพบว่าหากมีการปรับปรุงตามข้อเสนอดังกล่าวจะสามารถประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 96.4 ล้านบาทต่อปี จากต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง 282.9 ล้านบาทต่อปี หรือประหยัดได้ร้อยละ 34.1 และยังสามารถลดต้นทุนค่าเสียโอกาสได้ถึง 943.1 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น ร้อยละ 87.2 จากต้นทุนค่าเสียโอกาสทั้งหมด 1,081.9 ล้านบาทต่อปี” ดร.กิรติพงศ์ ระบุ-511 .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ พล.ท.บุญสิน เป็นทหารราชองครักษ์พิเศษ

กทม. 27 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายทหาร-นายตำรวจ เป็นราชองครักษ์พิเศษ 38 นาย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ในลำดับที่ 20 เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศให้นายทหารสัญญาบัตรและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่งตั้งเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารสัญญาบัตรและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่งตั้งเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ จำนวน 38 นาย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติราชองครักษ์ พุทธศักราช 2480 มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัตินายตำรวจราชสำนัก พ.ศ. 2495 และข้อ 6 ของระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการแต่งตั้งราชองครักษ์ พ.ศ.2559 .-313.-สำนักข่าวไทย

ไฟไหม้ จยย. ลามวอดทั้งลานจอด

กทม. 27 ก.ย.-วงจรปิดจับภาพวินาทีไฟไหม้รถจักรยานยนต์ที่ลานจอด ก่อนลุกลามระเบิดวอดรถจักรยานยนต์ 29 คัน รถยนต์ 3 คัน และจักรยาน 3 คัน วงจรปิดจับภาพวินาทีไฟเริ่มลุกไหม้รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ด้านในสุด ก่อนจะลุกลามมาคันข้างๆ และระเบิด จนควันปกคลุมไปทั่ว แล้วไฟได้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ทำให้รถจักรยายนต์ที่จอดอยู่เสียหายถึง 29 คัน รถยนต์ 2 คัน รถกระบะ 1 คัน และจักรยานอีก 3 คัน เหตุการณ์เกิดขึ้นเวลาประมาณ 01.40 น. เช้าวันนี้ (27 กย.68) ที่ลานจอดรถ ของพี.อาร์.เค แมนชั่น ใกล้ปากซอยสุขสวัสดิ์ 17 เเขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งเข้าช่วยเหลือฉีดน้ำสกัดท่ามกลางเปวดพลิงที่และกำลังลุกลามต่อเนื่องไปยังลานจอดรถยนต์ด้านในอาคาร โดยใช้เวลานานกว่า 20 นาที จึงควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่เสียหายทั้งหมด เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุ ต้องรอให้เจ้าหน้าส่วนเกี่ยวข้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต.-สำนักข่าวไทย

กัมพูชาเปิดฉากยิงป่วน 2 พื้นที่ ปราสาทตาควาย-ช่องบก

26 ก.ย. – กัมพูชาเปิดฉากยิงไทยแล้ว 2 จุด บริเวณพื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ และเนิน 498 ช่องบก จ.อุบลราชธานี เวลาประมาณ 16.40 น. รับแจ้งจากหน่วยทหารในพื้นที่ ระบุว่า บริเวณเนิน 350 พื้นที่ประสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ได้ยินเสียงระเบิด 1 ครั้ง และพื้นที่ “จุ๊บอั่งกุย” ได้ยินเสียงปืนเล็ก 5-6 นัด คาดว่าเป็นการก่อเหตุยั่วยุจากทางฝั่งกัมพูชา ล่าสุดเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ อยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติมจากหน่วยทหารในพื้นที่ ขณะที่บริเวณเนิน 498 ช่องบก จ.อุบลราชธานี พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยอมรับว่า ไทยถูกกัมพูชายิงระเบิดใส่จริง ขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบ เก็บหลักฐานไปประท้วง พร้อมขอให้ประชาชนช่วยรักษาความลับราชการ ไม่เผยแพร่ภาพพิกัดยุทโธปกรณ์ของทหาร.-สำนักข่าวไทย

กรมการปกครอง ไม่อนุมัติ “ผู้กองแคท” โยกช่วยงานประธานรัฐสภา

กทม 26 ก.ย.- กรมการปกครอง ไม่อนุมัติ “ผู้กองแคท” โยกไปช่วยงานประธานรัฐสภา ชี้นโยบายชัด ปลัดอำเภอใหม่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่จริง เพื่อสั่งสมประสบการณ์ นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมการปกครอง ทำหนังที่ มท 302.13481 ถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรื่องขอยืมตัวข้าราชการช่วยราชการ โดย อ้างถึง หนังสือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ด่วนที่สุด ที่ สผ001.02/479 ลงวันที่ 25 กันยายน 2568 โดยมีรายละเอียดว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งว่า มีความประสงค์ขอยืมตัวข้าราชการสังกัดกรมการปกครองราย ร้อยตำรวจเอกหญิง อาทิติยา เบ็ญจะปัก ตำแหน่ง นักประชาสัมพันธ์ปฏิบัติการ ส่วนประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมการปกครอง มาช่วยราชการที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในส่วนงานของประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย อีกหน้าที่หนึ่ง โดยไม่ขาดจากตำแหน่งหน้าที่เดิม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่1ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป นั้น กรมการปกครอง ขอเรียนว่า […]

ข่าวแนะนำ

น้ำปิงล้นตลิ่ง

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เรียกประชุมด่วนทุกหน่วยงาน เตรียมรับมือน้ำ หลังน้ำปิงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เชียงใหม่ 27 ก.ย. – ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เรียกประชุมทุกหน่วยงาน ติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย หลังระดับน้ำปิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดสูงถึง 4.15 เมตร ในคืนนี้ ประเมินเบื้องต้นยังสามารถบริหารจัดการได้ และสั่งทุกหน่วยเตรียมพร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ค่ำวันนี้ (27 ก.ย. 68) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ สำนักงานชลประทานที่ 1 (SWOC1) อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เรียกประชุมด่วนทุกหน่วยงาน ติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือระดับน้ำในแม่น้ำปิงหลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ตอนบนของจังหวัด ส่งผลให้ให้มวลน้ำจำนวนมากจะไหลลงมาผ่านตัวเมืองที่เป็นย่านเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเวลา 22.00-24.00 น. คืนนี้ ชลประทานเชียงใหม่คาดการณ์ว่าระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม 3.9 เมตร เป็น 4.0-4.15 เมตร และจะส่งผลให้น้ำปริ่มและเอ่อล้นตลิ่งเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการสถานการณ์ได้ เนื่องจากมีการเสริมคันกันน้ำทั้งสองฝั่งแม่น้ำปิง ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้สูงถึง 4.2 เมตร สำหรับสถานการณ์ฝนในพื้นที่อำเภอต่างๆ โดยเฉพาะที่อำเภอแม่แตง ทางอำเภอได้รายงานว่าตลอดทั้งวันยังมีฝนตกในพื้นที่ […]

การรถไฟฯ แจ้งน้ำท่วมทำ “ทางรถไฟขาด” สั่งปรับแผนเดินรถ

27 ก.ย. – การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศแจ้งเหตุน้ำท่วมหนัก “ทางรถไฟขาด” ที่บ้านเหลื่อม จ.นครราชสีมา สั่งปรับแผนเดินรถ ขณะนี้ได้สั่งการและดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ พร้อมปรับแผนการเดินรถเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ดังนี้ 1.ขบวนรถด่วนที่ 75/76 กรุงเทพอภิวัฒน์ – หนองคาย – กรุงเทพอภิวัฒน์2.ขบวนรถสินค้าที่ 553 มาบตาพุด – บัวใหญ่3.ขบวนรถสินค้าที่ 532 สำราญ – บางละมุงให้เปลี่ยนการเดินขบวนรถในเส้นทางชุมทางแก่งคอย – นครราชสีมา – ชุมทางบัวใหญ่ – หนองคาย 4.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 439 ชุมทางแก่งคอย – ชุมทางบัวใหญ่ เดินถึงสถานีบ้านเหลื่อม5.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 434 ชุมทางบัวใหญ่ – ชุมทางแก่งคอยรอสถานการณ์น้ำที่สถานีชุมทางบัวใหญ่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่สามารถประมาณการเวลาในการเปิดทางได้ เนื่องจากระดับน้ำยังคงท่วมสูงและยังไม่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ การรถไฟฯ จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมให้ทราบ เมื่อมีความคืบหน้าในการเปิดเส้นทางเดินรถ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้.-513-สำนักข่าวไทย

กองทัพภาคที่ 2 ซัดเขมรใช้แผนยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อุบลราชธานี 27 ก.ย.-กองทัพภาคที่2 ซัดเขมรใช้แผนยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำรู้ทันแผนโฆษณาชวนเชื่อต่อนานาชาติ เมื่อเวลา 14.40 น. วันที่ 27 ก.ย. 68 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 27 ก.ย. ณ เวลา 14.00 น. ว่าสถานการณ์โดยรวมเมื่อเวลา 12.02 น. ฝ่ายกัมพูชาได้พยายามสร้างสถานการณ์ความตึงเครียด ขึ้นอีกครั้งบริเวณพื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี โดยใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามายังพื้นที่ ของฝ่ายไทยจากบริเวณเนิน 677 มายังเนิน 600 และ เนิน 527 พร้อมทั้งใช้อาวุธปืนเล็กยิงปะทะเป็นระยะ ก่อนที่สถานการณ์จะยุติลง ทั้งนี้ การปะทะจำกัดวงอยู่เฉพาะบริเวณดังกล่าว แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังควบคุมพื้นที่อย่างใกล้ชิด ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ฝ่ายไทยได้รับแจ้งจากกัมพูชา ว่า คณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) ของกัมพูชา จะเดินทางเข้าพื้นที่ช่องอานม้า กองทัพภาคที่ 2 ประเมินว่าเป็นความพยายามของกัมพูชา ในการสร้างเงื่อนไขและยั่วยุให้เกิดสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่คณะ IOT […]

นายกฯ ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมอยุธยาฯ

พระนครศรีอยุธยา 27 ก.ย.-นายกฯ ลงพื้นที่พระนครศรีอยุธยา ตรวจน้ำท่วม เร่งเยียวยาแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เดินหน้าบูรณาการหน่วยงานใช้งบแสนล้านบาท พัฒนาระบบชลประทานและการจัดการน้ำ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ สส.ของพรรค ให้การต้อนรับ และในโอกาสนี้ นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พรรคประชาชน เขต1 ที่มาร่วมงานด้วย ทันทีที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาถึงบริเวณวัดโคกหิรัญ มีประชาชนมารอให้การต้อนรับ มอบดอกกุหลาบให้กำลังใจ พร้อมร้องเพลง มาร์ช อสม.ต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมกับถ่ายรูปเซลฟี่ อย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะรับฟังการรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่จากผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดยืนยันว่า พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ไม่ใช่พื้นที่ทุ่งรับน้ำ พื้นที่มีโฉนดที่ดินทั้งหมด ไม่ใช่ที่สาธารณะ หรือแก้มลิง พร้อมขอให้มีการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาปัญหาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เนื่องจากไม่ได้รับความสะดวกในการประกอบอาชีพ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น มาในสถานะนายกรัฐมนตรี ถือว่าสามารถที่จะมาตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกๆ มิติ รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ทำงานร่วมกันเป็นทีมเดียวกัน กับพรรคร่วมรัฐบาล เป้าหมายคือประโยชน์สูงสุดของประชาชน นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ทราบดีอยู่แล้วว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งนี้ มีน้ำท่วมทุกปี น้ำท่วมซ้ำซาก […]