กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5)
ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้
โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
ประการสำคัญ ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว และเรียกผู้นำประเทศที่กำลังมีการประทะกันทางการทหาร หรือสภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า uncle หรือลุง และแจ้งว่า “จริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” รวมทั้งเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า “ฝั่งตรงข้าม”
และประกอบกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในห้วงที่ผ่านมาพบว่า หลังจากที่มีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทางฝ่ายผู้นำกัมพูชามีความพยายามขับเคลื่อนและดำเนินมาตรการต่างๆ ตามที่วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับ โดยเฉพาะการยื่นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยกลับไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใดๆ จนบุคคลสำคัญและประชาชนคนไทยต้องออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกรัฐมนตรีให้ปฏิบัติหน้าที่โดยด่วน และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักชาติ
แต่นายกรัฐมนตรีไทยยังคงนิ่งเฉยและไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวหรือกำหนดมาตรการใดที่มีความชัดเจน อีกทั้งเมื่อสื่อมวลชนตั้งคำถามด้วยความห่วงใยประเทศ ในทำนองว่า ทางกัมพูชามีการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาแล้ว 200 เมตร นายกรัฐมนตรีกลับถามทันทีว่า ไปดูมาแล้วหรือยัง และผู้สื่อข่าวจึงตอบว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันมาแล้วว่า มีการรุกล้ำเข้ามา 200 เมตร รวมทั้งการตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างตระกูลชินวัตร กับตระกูลสมเด็จฮุน เซน เพื่อให้นายกรัฐมนตรีชี้แจง แต่นายกฯ กลับโกรธ จนควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดจาประชดสื่อมวลชน
นอกจากนี้ยังอ้างถึงเหตุการณ์ประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา ซึ่งทางผู้นำกัมพูชาใช้โอกาสนี้ออกแถลงการณ์ที่ไม่ถูกต้อง กรณีการหยิบยกเรื่องนำข้อพิพาท 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และมีการหารือเรื่องการใช้แผนที่ 1:200,000 ในการกำหนดเขตแดน แต่ฝ่ายไทยมีเพียงการออก เอกสารข่าวระดับกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธในเรื่องนี้ ส่วนนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล กลับนิ่งเฉยไม่ได้ดำเนินการแถลงข่าวโต้แย้งในทันที เพียงแต่นัดประชุมฝ่ายความมั่นคงในวันต่อมาอย่างใจเย็น
ซึ่งจากข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด สมาชิกวุฒิสภา จึงเกิดความสงสัยว่า เหตุใดนายกรัฐมนตรีไทยจึงแสดงออกถึงความนิ่งเฉย และไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการโต้ตอบ หรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเอง ให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศพึงกระทำ
จนกระทั่งผู้นำฝ่ายกัมพูชานำคลิปเสียงการสนทนามาเผยแพร่ในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้สมาชิกวุฒิสภาเข้าใจว่า นายกรัฐมนตรีไทยนิ่งเฉย เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว แอบสนทนาแบบที่เป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่คุณลุงประธานวุฒิสภากัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย นายกรัฐมนตรีมองว่าเป็นฝั่งตรงข้าม ซึ่งถือว่าพฤติการณ์ดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 50 มาตรา 52 มาตรา 161 มาตรา 164 (1)(4) และยังฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร และหมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
อีกทั้งยังฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ปี 2561 ข้อ 6 ข้อ 7 และข้อ 8 ประกอบข้อ 27 วรรคหนึ่ง อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
รวมทั้งเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 11 ข้อ 12 ข้อ 13 ข้อ 15 ข้อ 16 ข้อ 17 ข้อ 19 ข้อ 21 ประกอบกับข้อ 27 วรรคสอง เพราะตามพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีเจตนา และความร้ายแรงนี้เกิดจากการกระทำดังกล่าว กับสมเด็จฮุน เซน ในสภาวะสงครามและเกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของไทย ย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง นอกจากนี้ยังอ้างถึงการกระทำเป็นการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง ปี 2564 อีกหลายข้อ
จากพฤติกรรมและความผิดดังกล่าวทั้งหมด จึงถือได้ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และอาจกล่าวได้ถึงขนาดว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติและประชาชนเลย รวมทั้งฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง.-319.-สำนักข่าวไทย