สหรัฐให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนอาเซียน
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ให้คำมั่นในระหว่างการประชุมผ่านระบบออนไลน์ร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ว่าจะสนับสนุนอาเซียน
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ให้คำมั่นในระหว่างการประชุมผ่านระบบออนไลน์ร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ว่าจะสนับสนุนอาเซียน
วอชิงตัน 3 ส.ค. – สหรัฐระบุว่า แผนจัดการเลือกตั้งภายใน 2 ปีของรัฐบาลทหารเมียนมาเป็นเพียงแค่การถ่วงเวลา และประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน จำเป็นต้องเร่งกดดันเมียนมาให้ปฏิบัติตามหลักฉันทามติ 5 ประการ เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐกล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนถึงการประชุมออนไลน์ระหว่างนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐกับรัฐมนตรีต่างประเทศชาติสมาชิกอาเซียน ซึ่งรวมถึงเมียนมาในสัปดาห์นี้ว่า รัฐบาลทหารเมียนมาแค่ถ่วงเวลาและต้องการยึดครองอำนาจต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อาเซียนจึงต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างยิ่ง โดยการเร่งรัดให้เมียนมาปฏิบัติตามข้อตกลงตามหลักฉันทามติ 5 ประการที่ได้ลงนามร่วมกันเพื่อยุติปัญหาวุ่นวายในเมียนมา ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า สหรัฐกับประเทศสมาชิกอาเซียนมีวาระการประชุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ไม่ได้เปิดเผยถึงประเด็นอื่น ๆ อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวคาดว่า นายบลิงเคนจะให้ข้อมูลแก่รัฐมนตรีอาเซียนเกี่ยวกับการสนับสนุนของสหรัฐเพื่อยับยั้งการระบาดรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงปัญหาที่สหรัฐมองว่าจีนได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ฮ่องกง และทิเบต รอยเตอร์มองว่า สหรัฐกำลังสื่อผ่านการเข้าร่วมประชุมระดับภูมิภาคติดต่อกัน 5 วันของนายบลิงเคนว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐจริงจังในการมีส่วนร่วมกับชาติพันธมิตรเพื่อต่อต้านอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีน โดยที่นายบลิงเคนจะมีกำหนดเข้าร่วมประชุมทางไกลในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐ และกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงในสัปดาห์นี้อีกด้วย. -สำนักข่าวไทย
คูเวต ซิตี 29 ก.ค. – สหรัฐกล่าวสนับสนุนแผนการสืบสวนที่มาของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระยะที่สองในจีนขององค์การอนามัยโลก (WHO) กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐระบุว่า นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้ยืนยันว่า สหรัฐสนับสนุนแผนการสืบสวนที่มาของโรคโควิด-19 เพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงในจีน เพื่อให้เข้าใจถึงสถานการณ์ระบาดในปัจจุบันและป้องกันการระบาดในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เขายังได้เน้นย้ำว่า การสืบสวนที่มาของโรคโควิด-19 ระยะที่สองจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมกับเวลา อ้างอิงหลักฐาน โปร่งใส นำทีมโดยผู้เชี่ยวชาญ และปราศจากการแทรกแซง ทั้งนี้ นายบลิงเคนได้พบกับ ดร. ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกในกรุงคูเวต ซิตีของคูเวตเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนหน้านี้ คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกได้เผยแพร่รายงานการสืบสวนที่มาของโรคโควิด-19 ในจีนเมื่อเดือนมีนาคมที่ระบุว่า เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่เชื้อไวรัสโคโรนาจะหลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการทดลองในเมืองอู่ฮั่นของจีนตามคำกล่าวอ้างของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ดี องค์การอนามัยโลกได้ประกาศแผนสืบสวนที่มาของโรคโควิด-19 ระยะที่สองในจีนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แต่รัฐบาลจีนกลับปฏิเสธเข้าร่วมแผนงานดังกล่าว ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐได้สั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐสืบสวนที่มาของโรคโควิด-19 อีกครั้ง พร้อมทั้งเรียกร้องให้จีนเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว.-สำนักข่าวไทย
ฮานอย 14 ก.ค. – นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ระบุว่า สหรัฐรู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ในเมียนมา และเรียกร้องให้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ดำเนินการเพื่อยุติความรุนแรงและฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในเมียนมา ในระหว่างการประชุมทางไกลร่วมกับคณะรัฐมนตรีต่างประเทศของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน นายเนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐระบุในแถลงการณ์ว่า นายบลิงเคนเรียกร้องให้อาเซียนเร่งดำเนินการตามหลักฉันทามติ 5 ประการในทันทีและแต่งตั้งทูตพิเศษเพื่อประสานงานแก้ปัญหาวิกฤตในเมียนมา ทั้งยังขอให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังอย่างไม่ยุติธรรมทั้งหมดในเมียนมา และเร่งฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในเมียนมาด้วย นอกจากนี้ นายบลิงเคนยังเน้นย้ำว่า สหรัฐปฏิเสธข้ออ้างสิทธิทางทะเลโดยมิชอบด้วยกฎหมายในทะเลจีนใต้ และระบุว่า สหรัฐขอยืนเคียงข้างกลุ่มผู้อ้างสิทธิในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องเผชิญกับการบีบบังคับจากจีน นายฮิชามมุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของมาเลเซียกล่าวว่า เขาหวังว่าการประชุมในวันนี้จะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงพันธสัญญาที่สดใสจากความร่วมมือระดับพหุภาคีของสหรัฐในภูมิภาคนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าใจดีว่ารัฐบาลสหรัฐชุดก่อนไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบพหุภาคีมากนัก แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กลับยอมรับความร่วมมือในระดับพหุภาคี ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า หนทางดังกล่าวเป็นทางเดียวที่จะสร้างความมั่นคง สันติภาพ ความมั่งคั่ง และเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่จีนระบุวันนี้ว่า จีนไม่เห็นด้วยอย่างมากกับจุดยืนที่ผิดของสหรัฐจากกรณีที่นายบลิงเคนระบุว่า สหรัฐปฏิเสธข้ออ้างสิทธิทางทะเลโดยมิชอบด้วยกฎหมายในทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ นายบลิงเคนได้เข้าร่วมการประชุมทางไกลผ่านระบบออนไลน์กับคณะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดีไบเดนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐในเดือนมกราคม และมีขึ้นท่ามกลางความวิตกกังวลในกลุ่มนักการทูตและกลุ่มอื่น ๆ ว่า รัฐบาลสหรัฐไม่ได้ให้ความสำคัญมากพอกับภูมิภาคที่สำคัญต่อยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของตนเพื่อตอบโต้จีนที่กำลังแผ่ขยายอำนาจมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย
วอชิงตัน 7 พ.ค. – สหรัฐเรียกร้องให้ฮ่องกงปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยชาวฮ่องกง 4 คน ซึ่งรวมถึงโจชัว หว่อง ที่ถูกศาลสั่งจำคุกฐานเข้าร่วมการชุมนุมรำลึกการปราบปรามผู้ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่งปี 2532 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนปีก่อน โดยไม่ได้รับอนุญาต นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า สหรัฐขอยืนเคียงข้างชาวฮ่องกง และไม่ยอมรับคำพิพากษาจำคุกนักเคลื่อนไหวที่เข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าว ผู้ที่ถูกคุมขังเพราะใช้สิทธิเสรีภาพของตนอย่างสันติควรได้รับการปล่อยตัวในทันที ทั้งนี้ โจชัว หว่อง วัย 24 ปี เลสเตอร์ ชุม วัย 27 ปี แจนเนลล์ เหลียง วัย 26 ปี และทิฟฟานี หยวน วัย 27 ปี เป็นนักเคลื่อนไหว 4 คนที่ถูกศาลฮ่องกงสั่งจำคุกฐานเข้าร่วมการชุมนุมรำลึกการปราบปรามผู้ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่งปี 2532 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนปีก่อน โดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะนี้ หว่องถูกจำคุกในเรือนจำเป็นเวลา 17 เดือนครึ่งจากความผิด 2 […]
เบงกาลูรู 30 เม.ย. – อินเดียสั่งปิดศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ทุกแห่งในนครมุมไบ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินของอินเดีย เป็นเวลา 3 วันตั้งแต่วันนี้ เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนวัคซีน ในขณะที่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายวันมากเป็นสถิติสูงสุดของโลกอีกครั้ง กระทรวงสาธารณสุขอินเดียระบุว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 386,452 คน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3,498 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หลายรายเชื่อว่า ยอดผู้ป่วยติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจริงอาจมีมากกว่าที่ทางการรายงาน 5-10 เท่า สถานการณ์ระบาดที่รุนแรงของโรคโควิด-19 ทำให้โรงพยาบาลและสถานที่เก็บศพในอินเดียไม่เพียงพอ ประสบปัญหาขาดแคลนออกซิเจนและเวชภัณฑ์ รวมถึงจำเป็นต้องประกาศมาตรการเข้มงวดเพื่อจำกัดการเดินทางในเมืองใหญ่ แม้อินเดียเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก แต่กลับมีวัคซีนสำรองไม่พอรับมือกับการระบาดระลอกสอง ขณะที่รัฐบาลนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดียได้วางแผนที่จะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชากรวัยผู้ใหญ่ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ดี หลายรัฐของอินเดียระบุว่ายังไม่อาจเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนที่มีอายุ 18-45 ปีได้ในทันที ขณะนี้ อินเดียฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนร้อยละ 9 จากประชากรทั้งหมด 1,400 ล้านคนนับตั้งแต่เริ่มโครงการฉีดวัคซีนในเดือนมกราคม ในขณะเดียวกัน เที่ยวบินขนส่งความช่วยเหลือลำแรกของสหรัฐได้เดินทางถึงกรุงนิวเดลีของอินเดียในวันนี้ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า สหรัฐมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนแก่อินเดียในยามจำเป็นเช่นเดียวกับที่อินเดียเคยช่วยเหลือสหรัฐในการระบาดช่วงต้น ๆ […]
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐจะเดินทางเยือนกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียมอย่างเป็นทางการในวันอังคารนี้ตามเวลาท้องถิ่น โดยตั้งเป้าฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต และสหภาพยุโรป หรืออียู
การประชุมระดับสูงครั้งแรกระหว่างสหรัฐกับจีนภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐเปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือดเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐ โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีและตำหนินโยบายของอีกฝ่ายในการประชุมที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี
โซล 17 มี.ค. – นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐระบุว่า จีนมีท่าทีก้าวร้าวและแสดงกำลัง ขณะที่พลเอกลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐเรียกร้องให้สหรัฐและเกาหลีใต้กระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น เพื่อรับมือกับข้อกังวลด้านความมั่นคงจากจีนและเกาหลีเหนือ นายบลิงเคนและพลเอกออสตินอยู่ในระหว่างการเดินทางเยือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรในทวีปเอเชีย ซึ่งถือเป็นเยือนต่างประเทศครั้งแรกของเจ้าหน้าที่ระดับสูงภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ นายบลิงเคนกล่าวกับผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวว่า รัฐบาลจีนกำลังสร้างความตึงเครียด และไม่ยอมลดลาวาศอก โดยอ้างถึงกรณีที่จีนอ้างสิทธิเหนือไต้หวัน และการกระทำของจีนในทะเลจีนใต้และตะวันออก ซึ่งมีข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตกับญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย หลังเสร็จสิ้นการเยือนญี่ปุ่น และเดินทางถึงเกาหลีใต้ในวันนี้ สำนักข่าวยอนฮัพของเกาหลีใต้รายงานว่า ในช่วงต้นของการประชุมร่วมกับนายพลซู อุก รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ พลเอกออสตินได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้ เพื่อรับมือกับข้อกังวลด้านความปลอดภัยต่อจีนและเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ พลเอกออสตินยังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันเพื่อสร้างความสงบสุข ความปลอดภัย และความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงการทำให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เป็นพื้นที่เสรีและเปิดกว้าง ขณะที่นายพลซูระบุว่า ชาติพันธมิตรทั้งสองต้องรักษาการป้องกันที่แข็งแกร่งและร่วมมือกันต่อต้านเกาหลีเหนือ ทั้งยังให้คำมั่นว่าจะกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นายบลิงเคนและพลเอกออสตินมีกำหนดเข้าร่วมการประชุมแบบ 2+2 กับเกาหลีใต้ โดยจะเข้าพบประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ จนถึงวันพรุ่งนี้.-สำนักข่าวไทย
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศหรัฐเตือนจีนให้เลิกใช้การบีบบังคับและการรุกราน ในขณะที่เขาใช้การเดินทางเยือนญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรก เพื่อสร้างพันธมิตรในทวีปเอเชียหลังจีนเริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น
วอชิงตัน 11 มี.ค. – นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐจะหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนที่รัฐอะแลสกาในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกของเจ้าหน้าที่ระดับสูงแบบตัวต่อตัวของทั้งสองฝ่ายภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ การประชุมของสหรัฐกับจีนจะมีขึ้นหลังจากที่นายบลิงเคนกลับมาจากการเดินทางเยือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ครั้งแรก และอยู่ในช่วงที่สหรัฐกำลังเดินหน้าผลักดันนโยบายการทูตครั้งสำคัญในการสร้างพันธมิตรในทวีปเอเชียและยุโรปเพื่อคานอำนาจจีน นางเจน ซากี โฆษกทำเนียขาวกล่าวว่า นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐจะเข้าร่วมการประชุมที่เมืองแองเคอเรจในรัฐอะแลสการ่วมกับนายหยาง เจียประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจีน ทั้งยังระบุว่า รัฐบาลสหรัฐจะสานสัมพันธ์กับจีนไปพร้อม ๆ กับชาติพันธมิตรอื่น ๆ และการประชุมในครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นไม่ตรงกันมาอย่างยาวนาน ในขณะเดียวกัน โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนได้ออกมายืนยันการประชุมดังกล่าว และหวังว่าสหรัฐจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายกลับไปแข็งแกร่งและมั่นคง มองความสัมพันธ์อย่างเป็นกลางและมีเหตุผล ปล่อยวางความคิดเรื่องสงครามเย็นและผลประโยชน์ต่าง ๆ รวมทั้งให้ความเคารพต่ออำนาจอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ของจีน นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้สหรัฐหยุดแทรกแซงกิจการภายในของจีนและแก้ปัญหาความขัดแย้งของทั้งสองประเทศ.-สำนักข่าวไทย
โตเกียว 4 มี.ค. – นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ และพลเอกลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการเยือนญี่ปุ่นในวันที่ 15 มีนาคมนี้ เพื่อหารือด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง แหล่งข่าวของรัฐบาลสหรัฐและญี่ปุ่นเผยว่า นายบลิงเคนและพลเอกออสตินกำลังเตรียมจัดการหารือแบบ 2+2 ร่วมกับนายโทชิมิตสึ โมเตงิ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น และนายโนบูโอะ คิชิ รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นการจัดประชุมร่วมกันครั้งแรกของทั้งสองประเทศนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2562 และจะเป็นครั้งแรกที่สมาชิกคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐเดินทางเยือนญี่ปุ่น ทั้งนี้ สหรัฐและญี่ปุ่นต้องการที่จะกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากจีนใช้นโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวมากขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เอกสารสรุปนโยบายความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีไบเดนที่มีความยาว 24 หน้าได้กล่าวถึงจีนไว้ว่าเป็นคู่แข่งเพียงรายเดียวที่สามารถรวมอำนาจทางเศรษฐกิจ การทูต การทหาร และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยั่งยืนต่อระบบระหว่างประเทศที่มั่นคงและเปิดกว้าง.-สำนักข่าวไทย