ทำเนียบรัฐบาล 20 พ.ค.-ศบค.ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์โควิด 1 มิ.ย.นี้ เปิดสถานบันเทิง อาบอบนวด กลุ่มเสี่ยงสูงไม่ต้องกักตัว ทำงานปกติ แต่ให้สังเกตอาการ 10 วัน ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือน
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงผลการประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ว่า วันนี้(20 พ.ค.) ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,463 ราย ติดเชื้อในประเทศ 6,439 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 1 ราย จากเรือนจำ / ที่ต้องขัง 23 ราย หายป่วยแล้ว 7,019 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ในโรงพยาบาลสนามและอื่น ๆ 58,910 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 1,037 ราย ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ 510 ราย และผู้เสียชีวิต 41 ราย
“พบว่าการติดเชื้อไปในทิศทางที่เป็นบวก ผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ รวมทั้งการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อ ทำให้ใกล้เคียงกับการคาดการณ์เรื่องการประกาศให้การระบาดของโรคโควิดเป็นโรคประจำถิ่น ที่ประชุมศบค.เห็นชอบแนวทางจัดการกรณีสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ เสี่ยงสูง จากนี้ไปไม่ต้องกักตัว 5 วัน ให้ไปทำงานปกติ เพียงแต่สังเกตุอาการ 10 วัน และตรวจ ATK เมื่อมีอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ศบค.เห็นชอบปรับระดับพื้นที่สถานการณ์และมาตรการป้องกันควบคุมโรคแบบบูรณาการ โดยมีผลในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ซึ่งจะไม่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด(สีแดงเข้ม ) ไม่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) แต่จะปรับเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง(สีเหลือง) จาก 65 จังหวัด เหลือ 46 จังหวัด และเพิ่มพื้นที่เฝ้าระวัง(สีเขียว) จำนวน 14 จังหวัด และพื้นที่สีฟ้า พื้นที่นำร่องท่องเที่ยวจาก 12 เป็น 17 จังหวัด
“พื้นที่สีเหลืองเฝ้าระวังสูง 46 จังหวัด ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 1,000 คน สถานศึกษาสามารถใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติภายใต้มาตรการป้องกันโรคที่ราชการกำหนด ส่วนการเล่นกีฬา เปิดบริการได้ตามปกติ แต่การจัดการแข่งขันต้องจำกัดผู้ชม โดยกีฬาในร่ม ผู้ชมไม่เกินร้อยละ 75 กีฬากลางแจ้ง ผู้ชมตามความจุสนามและมาตรการเว้นระยะห่าง ส่วนโรงภาพยนตร์ โรงมโหรสพและการแสดงพื้นบ้านเปิดตามปกติ” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนพื้นที่สีเขียว พื้นที่เฝ้าระวังและสีฟ้า พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว จัดกิจกรรมและรวมกลุ่มตามความเหมาะสม ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามปกติ สถานที่เล่นกีฬาเปิดบริการและจัดการแข่งขันได้ตามปกติ รวมทั้งโรงภาพยนตร์และการแสดงพื้นบ้านที่สามารถเปิดดำเนินการตามปกติ ทั้งนี้ ในส่วนของสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด เปิดบริการได้วันที่ 1 มิถุนายน 2565
โฆษก ศบค. กล่าวว่าพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวและพื้นที่เฝ้าระวัง(พื้นที่สีฟ้าและสีเขียว) โดยให้จำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ไม่เกิน 24.00 น. เปิดบริการไม่เกิน 24.00 น. งดบริการเครื่องดื่มที่ใช้แก้วร่วมกัน งดกิจกรรมส่งเสริมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การให้บริการที่มีการคลุกคลีและสัมผัสใกล้ชิดกับลูกค้าจะต้องสวมหน้ากากอนามัย ส่วนผู้ให้บริการ พนักงาน นักร้อง นักดนตรีและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ วัคซีนเข็มกระตุ้น ตรวจคัดกรองความเสี่ยงพนักงานทุกวัน ตรวจ ATK พนักงานทุก 7 วัน
“ผู้รับบริการต้องแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ วัคซีนเข็มกระตุ้น และปฏิบัติตามมาตรการ ยูนิเวอร์แซลพรีเวนชั่น ส่วนมาตรการสำหรับสถานประกอบการ ที่จะเปิดดำเนินการต้องขึ้นทะเบียนขออนุญาต จากคณะกรรมการโรคติดต่อ เพื่อประเมิน อนุญาตและติดตามกำกับอย่างใกล้ชิด” โฆษก ศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุมศบค.ปรับมาตรการสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร และการบริหารจัดการระบบ Thailand Pass วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ปรับลดการตรวจการเข้าราชอาณาจักร โดยผู้เดินทางที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับวัคซีนไม่ครบ สามารถแสดงผล Professional ATK หรือ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ยกเลิกการกักตัวในกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับไม่ครบ และไม่มีผลตรวจ แต่เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสามารถตรวจ Professional ATK ได้ พร้อมกันนี้ปรับการลงทะเบียน Thailand Pass เฉพาะชาวต่างชาติ ส่วนคนไทยไม่ต้องลงข้อมูลใน Thailand Pass แต่ยังคงประกันสุขภาพของชาวต่างชาติที่ 10,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ศบค. ยังผ่อนคลายการเดินทางระหว่างประเทศในกลุ่มข้าราชการ บุคลากรของรัฐและนักเรียนทุนให้สามารถเดินทางได้
“ปัจจุบันกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 แล้วร้อยละ 80 ส่วนเข็มที่สามฉีดเพียงร้อยละ 43.1 ซึ่งถือว่ายังน้อยอยู่ โดยมี 16 จังหวัด สามารถฉีดวัคซีนได้มากกว่าร้อยละ 60 ในทุกกลุ่มเป้าหมาย ต้องชื่นชมว่าทำได้ดี” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุมศบค.ขยายเวลาพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนถึง 31 กรกฎาคม 2565 เป็นการขยายครั้งที่ 18 เพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่อไปจนกว่าจะผ่านเกณฑ์การประเมินการเป็นโรคประจำถิ่นตามที่สาธารณสุขกำหนด
“นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชน และผู้ที่ทำงานทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันทำงานเป็นอย่างดี การควบคุมสถานการณ์โควิด และขับเคลื่อนประเทศไทย อยากเห็นความสงบ ร่มเย็นปลอดภัย และคงบรรยากาศดี ๆ ต่อไป” โฆษกศบค. กล่าว.-สำนักข่าวไทย