ลพบุรี 15 ส.ค. – วัดพระบาทน้ำพุ ยันไม่ได้ทิ้งสิ่งของบริจาค แต่เพราะสิ่งของมีจำนวนมาก คนทำหน้าที่คัดแยกมีเพียง 2 คน ด้าน “บิ๊กเต่า” เผยคำให้การของ “หมอบี” กลับไปกลับมา ส่อเอาตัวรอด
เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) ทีมข่าวเข้าตรวจสอบโครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ 2 หนึ่งในโครงการของวัดพระบาทน้ำพุ มีเนื้อที่ 2,000 ไร่ ใน อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี ซึ่งเดิมเป็นที่ดินของวัด แต่จดชื่อผู้ครอบครองเป็นชื่ออดีตไวยาวัจกร ซึ่งปัจจุบันผู้เสียชีวิตแล้วทำให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทคนปัจจุบัน
พื้นที่แบ่งเป็นบ้านพักผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ลักษณะบ้านชั้นเดียวขนาดเล็ก เว้นระยะกระจายเป็นโซน บางส่วนยังมีผู้อยู่อาศัย ขณะที่ราว 70% ถูกปล่อยรกร้าง จุดสำคัญคือ โรงพยาบาลธรรมรักษ์นิเวศน์ ที่การก่อสร้างคืบหน้าเกือบ 90% แต่ยังไม่เปิดใช้งาน

ตรวจสอบภายในโกดังเก็บของพบว่าสิ่งของที่พบมีทั้งเก้าอี้ หน้ากากอนามัย ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ เครื่องกดน้ำ วอล์กเกอร์ช่วยเดิน 4 ขา เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ยาใช้สามัญ นอกจากนี้ยังพบยาบางชนิด เช่น ยาธาตุน้ำแดง ที่จะหมดอายุในปี 70 ยังอยู่ในโกดังเก็บของ แต่เจ้าหน้าที่อ้างว่าใช้ไม่ได้แล้ว
ทีมข่าวพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโครงการคนหนึ่ง เปิดเผยว่า ในพื้นที่ดังกล่าว หลักๆ จะเป็นอาคารสำนักงานมูลนิธิ ซึ่งตนเองจะดูแลทั้งโครงการ ส่วนการที่มีข่าวการทิ้งสิ่งของบริจาคนั้นไม่เป็นความจริงและมีความคลาดเคลื่อน เพราะสิ่งของที่บริจาคมีจำนวนมาก แต่คนที่ทำหน้าที่คัดแยกมีเพียง 2 คน และเป็นผู้ป่วย สิ่งของบางชิ้นต้องประกอบก่อนนำไปใช้งงาน โดยนโยบายของหลวงพ่ออลงกต คือของที่ได้รับบริจาคมาทุกชิ้นที่ยังใช้การได้อยู่ ถึงแม้จะหมดอายุท่านจะไม่ให้ทิ้ง โดยเฉพาะยาเวชภัณฑ์ จะมีเจ้าหน้าที่อนามัยและโรงพยาบาล เข้ามาประเมินว่ายาชนิดไหนยังใช้ได้ก็จะเก็บไว้ แต่บางตัวให้ทำลายเราก็จะทำลาย ของบางอย่างที่ผู้บริจาคมาให้ก็ใกล้หมดอายุ ทางวัดใช้ไม่ทัน แม้ว่าจะแจกให้กับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งประชาชนแล้วก็ตาม
ส่วนข้าวสารที่ได้รับบริจาคมามักกินไม่ทัน บางครั้งต้องนำออกมาจำหน่ายเพื่อนำเงินมาหมุนเวียน ส่วนน้ำดื่มที่หมดอายุจะนำไปผลิตเป็นน้ำแข็งใช้ในวัด
ด้านนายสมพร ไวยาวัจกรวัดพระบาทน้ำพุ เปิดเผยว่า ตอนนี้ครบ 7 วันตามนัดแล้ว ยังไม่เห็น “หมอบี” มาพบหลวงพ่ออลงกต ตามสัญญาเลย เพื่อให้รายละเอียดในทุกเรื่องกับหลวงพ่อ แต่จะให้ทีมทนายความดำเนินการหลังจากนี้
“บิ๊กเต่า” เผย “หมอบี” กลับคำให้การส่อเอาตัวรอด
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีหมอบี และ วัดพระบาทน้ำพุ ว่าจากคำให้การของหมอบี ตนฟังมาหลายครั้ง แต่ละครั้งแทบจะไม่เหมือนกัน โดยครั้งล่าสุด เหมือนเป็นการโยนไปให้หลวงพ่ออลงกต โดยอ้างว่านำเงินทั้งหมดส่งมอบให้หลวงพ่อ แต่ครั้งแรกบอกว่าแบ่งไว้บางส่วน ตรงนี้เจ้าหน้าที่กองปราบฯ ได้สอบสวนและตรวจสอบโดยให้น้ำหนักกับพยานหลักฐานอื่นประกอบคำให้การ คำให้การถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่หลักฐานอื่นหรือพยานปากคำอื่นๆ ที่เป็นเอกสารก็ต้องนำมาประกอบ ดังนั้น หมอบีจะให้การอย่างไรก็ได้ เราก็รับฟัง
การที่หมอบีให้การในลักษณะนี้ถือเป็นการพยายามเอาตัวรอด ทั้งที่ตัวเองรู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ส่วนตัวมองว่า ต่างคนต่างพยายามที่จะเอาตัวรอด หรืออาจจะพยายามช่วยกันเพื่อให้ตัวเองรอด แต่ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตำรวจได้ตรวจสอบมาตลอดอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยหนักใจ ยิ่งให้ข้อมูลยิ่งเข้าตัว ยิ่งให้ข้อมูลยิ่งกลับไปกลับมา อย่างไรก็ตาม ใครก็หลีกหนีพยานหลักฐานที่ทางตำรวจได้มาไม่ได้ โดยชุดสืบสวนยังไม่ได้คิดจะเชิญตัวหลวงพ่อ เพราะมีเรื่องที่จะต้องทำ
ส่วนเรื่องเส้นทางการเงินที่หมอบีเบิกเงินสด 3 ล้านบาท แต่เอาใส่ซองให้กว่า 2 ล้านบาท พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา หลักฐานหลายอย่างอยู่ในมือชุดสืบสวนแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่ได้หวั่นไหวในการที่ใครจะให้ข้อมูลผ่านสื่อ บางครั้งเรานั่งฟังยังยิ้ม เพราะมีส่วนที่ตรง แต่บางส่วนคิดว่า “เรื่องอะไรกัน” ตำรวจกำลังมองว่าสองคนให้ข้อมูลไม่หมด และอาจมีเรื่องไส้ในอยู่เยอะ อาจจะพูดให้ตัวเองพ้นผิด หรือไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องคดี แม้แต่การให้ข่าวแต่ละครั้งยังไม่เหมือนกัน เราก็ให้กำลังใจทั้งหลวงพ่อและหมอบี แต่หากหลวงพ่อมั่นใจก็มาพบพนักงานสอบสวนได้ ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนจะมีคนผิดหรือไม่นั้น ตนดูแล้วหมิ่นเหม่กับข้อกฎหมาย และต้องย้อนไปตรวจสอบถึงที่มาที่ไป เรื่องเกิดมานานต้องใช้เวลา ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ทำหน้าที่ โดยเฉพาะพฤติกรรมของหมอบีที่ไปเบิกเงินสดจากธนาคารมาใส่ซองไปให้หลวงพ่อ เป็นพฤติกรรมที่ต่างจากวิญญูชน.-สำนักข่าวไทย