กรุงเทพฯ 2 พ.ค. – ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) ยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้น IPO ตั้งเป้าหมายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศในปี 2566 ย้ำการเป็นแหล่งสินเชื่อเพื่อรายย่อย
นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในวันนี้ (2 พ.ค.) ตั้งเป้าหมายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศในปี 2566 โดยได้แต่งตั้งธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของธนาคารฯ สำหรับเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้
ทั้งนี้ธนาคารเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและลูกค้าบุคคล โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลัก ประกอบด้วย สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (Nano and Micro Finance) สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) และสินเชื่อบ้าน ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อบ้านแลกเงิน และ สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน โดยการให้บริการสินเชื่อมุ่งเน้นไปยังกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการแผงลอย ร้านค้าขนาดเล็กและขนาดกลาง ตลอดจนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอี ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรแบบยั่งยืนและมีส่วนช่วยเหลือเศรษฐกิจและสังคม
ที่ผ่านมาธนาคารพบว่า ปัญหาด้านการเงินของประชาชนจำนวนมากคือ หนี้สินจากการกู้ยืมนอกระบบ จากประมาณการของอิปซอสส์ (IPSOS) คาดว่าในปี 2565 มูลค่าตลาดของการกู้ยืมนอกระบบอยู่ที่ 2.35 ล้านล้านบาท และยังคาดการณ์ว่า ความต้องการด้านเงินกู้นอกระบบยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565 ภายหลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทยซึ่งภาคธุรกิจมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการกลับมาประกอบกิจการ ทำให้ธนาคารเชื่อว่า ตลาดสินเชื่อรายย่อยยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีกมาก
สำหรับจำนวนหุ้นที่คาดว่า จะเสนอขายทั้งหมด (รวมหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายโดยธนาคารฯ และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม) ไม่เกิน 347,029,122 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.2 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนและชำระแล้วทั้งหมดของธนาคารฯ ภายหลังการทำ IPO รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน
วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ โดยหลักจะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการรองรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ และปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันให้ธนาคารฯ มีแหล่งเงินลงทุนเพื่อนำไปให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินแก่ผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเป็นรากฐานของประเทศ
ยอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับและรายได้ดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระอยู่ที่ 121,298.0 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อของธนาคารฯ เติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมร้อยละ 32.7 ต่อปี ในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565
นอกจากนี้ สำหรับปี 2565 ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,352.5 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมร้อยละ 30.9 ต่อปี ในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565 และยังมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สำหรับปีเดียวกันอยู่ที่ร้อยละ 18.9 ทั้งนี้ ธนาคารฯ ให้ความสำคัญกับการดูแลโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยต้นทุนการดำเนินงานส่วนใหญ่ของธนาคารฯ ถูกใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้ารายใหม่ และเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ธนาคารฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost-to-Income Ratio) ลดลงโดยตลอดจากร้อยละ 49.9 ในปี 2563 เป็นร้อยละ 39.5 ในปี 2565
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเสริมให้ฐานเงินทุนของธนาคารให้แข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อเสริมศักยภาพในการเติบโตของสินเชื่อและตอกย้ำการมุ่งสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยอันดับหนึ่งในการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและลูกค้าบุคคล รวมไปถึงความมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศอย่างต่อเนื่อง.-สำนักข่าวไทย