Arnat Sakdaronnarong

วอชิงตัน 25 ส.ค. – ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ระบุว่า สหรัฐกำลังเร่งอพยพผู้คนออกจากอัฟกานิสถานให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 สิงหาคม แต่ไม่ได้ปิดโอกาสในการขยายเส้นตายออกไป พร้อมกล่าวว่าการบรรลุเป้าหมายตามกำหนดขึ้นอยู่กับความร่วมมือที่ต่อเนื่องของกลุ่มตาลีบัน ประธานาธิบดีไบเดนแถลงที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นว่า สหรัฐกำลังเร่งอพยพผู้คนออกจากอัฟกานิสถานให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเดิม เนื่องจากมีข้อกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภัยคุกคามจากการโจมตีของกองกำลังติดอาวุธ ความร่วมมือที่ต่อเนื่องของกลุ่มตาลีบันยังคงมีความสำคัญต่อการอพยพผู้คนให้เสร็จสิ้นตามกำหนด แต่ระบุว่าเรื่องดังกล่าวเป็นสถานการณ์ที่เปราะบางและมีความเสี่ยงรุนแรงที่จะค่อย ๆ สลายหายไปตามกาลเวลา ผู้นำสหรัฐยังกล่าวด้วยว่า เขาขอให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศเตรียมแผนฉุกเฉินเพื่อผลักดันการขยายเวลาการอพยพผู้คนออกไปจากกำหนดเดิม หากจำเป็นต้องทำเช่นนั้น และขณะนี้สหรัฐอพยพผู้คนไปได้แล้วราว 70,700 คนนับตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม บรรดาผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือจี 7 ได้แก่ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐ ได้จัดประชุมผ่านระบบออนไลน์เพื่อหารือเกี่ยวกับการถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานและการรับมือกับกลุ่มตาลีบัน ผู้นำกลุ่มจี 7 ต่างระบุตรงกันว่า พวกเขาจะยังคงให้คำมั่นในการอพยพผู้คนออกจากอัฟกานิสถานและสนับสนุนสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ในการประสานงานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วนในภูมิภาคที่ต้องรับมือกับคลื่นผู้ลี้ภัยระลอกใหม่ แต่การเจรจาดังกล่าวไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการขยายเวลาอพยพผู้คนออกไปจากกำหนดเดิม ในขณะเดียวกัน กลุ่มตาลีบันได้กล่าวกับชาวอัฟกันจำนวนมากที่กำลังรอเข้าสนามบินคาบูลเพื่อเดินทางออกนอกประเทศว่า ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวในอัฟกานิสถานและพวกเขาควรเดินทางกลับบ้าน ขณะที่โฆษกของกลุ่มตาลีบันแถลงที่กรุงคาบูลว่า กลุ่มตาลีบันขอรับรองความปลอดภัยของชาวอัฟกัน.-สำนักข่าวไทย

โตเกียว 24 ส.ค. – รัฐบาลญี่ปุ่นมีมติรับรองแผนชั่วคราวเพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ประมงของเมืองฟูกูชิมะในวันนี้ และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากชาวประมงและกลุ่มที่เกี่ยวข้องในการปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะลงสู่ทะเล รัฐบาลญี่ปุ่นจะจัดตั้งกองทุนเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ประมงและแช่แข็งเก็บไว้ชั่วคราวเพื่อบรรเทาผลกระทบจากข่าวด้านลบเกี่ยวกับการปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัด และจะช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของเมืองฟูกูชิมะให้แก่ร้านอาหารและอุตสาหกรรมอาหารอื่น ๆ นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้วางแผนเริ่มโครงการเลี้ยงปลาในน้ำปนเปื้อนที่ผ่านการบำบัดจนกระทั่งอยู่ในระดับที่นำไปปล่อยได้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจในรายละเอียดเชิงลึก นายคัตสึโนบุ คาโตะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวในการประชุมวันนี้ว่า ในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นทำงานร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ ไอเออีเอ เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ประเมินการปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัด และเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อประชาคมระหว่างประเทศ รัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยั่งยืนสำหรับการประมงและธุรกิจอื่น ๆ รวมถึงไม่ทอดทิ้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าว ก่อนหน้านี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจที่จะเริ่มปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกในฤดูใบไม้ผลิของปี 2566 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังเสร็จสิ้นการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและจัดทำแผนปล่อยน้ำที่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง อย่างไรก็ดี แผนดังกล่าวกลับถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มชาวประมง ชาวบ้าน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่น เช่น จีน และเกาหลีใต้.-สำนักข่าวไทย

สิงคโปร์ 24 ส.ค. – นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวหาจีนว่าบีบบังคับและข่มขู่ประเทศต่าง ๆ ให้สนับสนุนการอ้างสิทธิที่ไม่ชอบธรรมเหนือพื้นที่ในทะเลจีนใต้ ในระหว่างการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เธอระบุว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงของสหรัฐ นางแฮร์ริสกล่าวปราศรัยในสิงคโปร์วันนี้ว่า สหรัฐรู้ว่ารัฐบาลจีนยังคงบีบบังคับ ข่มขู่ และอ้างสิทธิเหนือดินแดนส่วนใหญ่ในทะเลจีนใต้ ทั้งที่ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรในกรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ได้ตัดสินไม่ยอมรับการอ้างสิทธิโดยไม่ชอบธรรมของจีนในปี 2559 แต่จีนก็ยังคงกระทำการที่ทำลายกฎเกณฑ์และคุกคามอำนาจอธิปไตยของประเทศต่าง ๆ ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือระหว่างสหรัฐกับสิงคโปร์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีความสำคัญสูงสุดสำหรับรัฐบาลสหรัฐ นอกจากนี้ พื้นที่ดังกล่าวยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงและความมั่งคั่งของสหรัฐเช่นกัน นางแฮร์ริสได้เริ่มปฏิบัติภารกิจเดือนทางเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลา 7 วันตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยเริ่มจากสิงคโปร์เป็นที่แรกและต่อด้วยเวียดนาม เพื่อต้านทานอิทธิพลทางเศรษฐกิจทั่วโลกและความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นของจีน รวมถึงจัดการข้อกังวลเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ การเบี่ยงความสนใจไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสิ่งที่รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในขณะที่สหรัฐเลิกสนใจข้อกังวลด้านความปลอดภัยแบบเดิม ๆ ด้วยการถอนกำลังทหารสหรัฐออกจากอัฟกานิสถาน.-สำนักข่าวไทย

วอชิงตัน 23 ส.ค. – ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะตัดสินใจในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นเกี่ยวกับการขยายเวลาอพยพพลชาวอเมริกันและพลเมืองชาติพันธมิตรออกจากอัฟกานิสถานจากกำหนดเดิมในวันที่ 31 สิงหาคมหรือไม่ ในขณะที่ยังมีชาวอัฟกันและชาวต่างชาติจำนวนมากรวมตัวกันที่สนามบินคาบูลเพื่อเดินทางออกนอกประเทศ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ประธานาธิบดีไบเดนจะตัดสินใจภายใน 24 ชั่วโมงเกี่ยวกับการขยายเวลาอพยพพลเมืองออกไปจากกำหนดเดิมเพื่อให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นหรือไม่ ขณะที่นายอดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนราษฎรและผู้แทนจากพรรคเดโมแครต เผยหลังเข้าร่วมประชุมเรื่องอัฟกานิสถานกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐเมื่อวันจันทร์ว่า เขาไม่เชื่อว่าภารกิจอพยพจะเสร็จสิ้นภายในเวลา 8 วันที่เหลือ และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง เพราะขณะนี้ยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัดของชาวอเมริกันที่ยังต้องอพยพ นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลสหรัฐระบุว่า สหรัฐได้เจรจากับกลุ่มตาลีบันทุกวัน และมีความคืบหน้าอย่างมากในการอพยพชาวอเมริกันและพลเมืองอื่น ๆ ส่วนนายเนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐเผยว่า สหรัฐกำลังหารือเรื่องการควบคุมสนามบินคาบูลในอนาคตกับกลุ่มตาลีบันและชาติพันธมิตร อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของกลุ่มตาลีบันกล่าวว่า กองกำลังต่างชาติไม่ได้ขอขยายเวลาอพยพพลเมือง และจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐระบุว่า สหรัฐได้อพยพผู้คนราว 10,900 คนจากสนามบินคาบูลในช่วงเวลา 03.00-15.00 น. ของวันจันทร์ และอพยพผู้คนได้ทั้งหมดราว 48,000 คนนับตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเคยระบุว่า ภารกิจอพยพจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 สิงหาคม เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับการเข้าถึงสนามบิน […]

กัวลาลัมเปอร์ 23 ส.ค.- นักวิเคราะห์ชี้ว่า มาเลเซียยังคงเผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้ว่านายอิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ สาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้วเมื่อวันเสาร์ เพราะโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ยังระบาดหนัก นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโอซีบีซีของสิงคโปร์มองว่า ปัญหาทางการเมืองในมาเลเซียที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปีก่อนส่งผลต่อมาเลเซียรุนแรงในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ทะลุวันละ 20,000 คนเมื่อต้นเดือนนี้ ขณะที่ยอดติดเชื้อสะสมมากกว่า 1 ล้าน 5 แสนคน เสียชีวิตกว่า 14,000 คน ถือว่าค่อนข้างสูงหากเทียบกับสัดส่วนประชากรที่มีเพียง 33 ล้านคนเศษ ด้านผู้อำนวยการสถาบันเพื่อประชาธิปไตยและเศรษฐกิจในมาเลเซียชี้ว่า การยื่นไมตรีต่อฝ่ายค้านเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะนายอิสมาอิล ซาบรีมีเสียงในสภาเพียง 114 เสียง จากทั้งหมด 222 เสียง เกินเกณฑ์เสียงข้างมากเพียง 3 เสียงเท่านั้น เขาต้องการการสนับสนุนทางการเมืองเพื่อเร่งการฉีดวัคซีนและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซียวัย 61 ปี กล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชนทั่วประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะเชิญฝ่ายค้านมาร่วมในคณะกรรมการพิเศษของรัฐบาล รับผิดชอบการรับมือกับวิกฤตโควิด-19.-สำนักข่าวไทย

คาบูล 23 ส.ค.- ตาลีบันขีดเส้นตายให้กองกำลังต่างชาติถอนออกจากอัฟกานิสถานภายในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ และจะไม่ขยายเส้นตายดังกล่าว โฆษกตาลีบันให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์สกายนิวส์ของอังกฤษในวันอาทิตย์ตามเวลาอังกฤษว่า หากขยายเส้นตายการถอนกำลังต่างชาติออฟจากอัฟกานิสถาน ก็จะเท่ากับขยายการยึดครองอัฟกานิสถาน และจะสร้างความไม่ไว้วางใจระหว่างตาลีบันกับสหรัฐ เป็นการแสดงความเห็นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐรับปากว่า จะถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานภายในวันที่ 31 สิงหาคม แต่อาจต้องให้กำลังพลอยู่ต่อเพื่ออพยพชาวอเมริกันทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถาน โฆษกตาลีบันกล่าวด้วยว่า ชาวอัฟกันที่พยายามออกนอกประเทศ ไม่ใช่เพราะกลัวตาลีบัน แต่ทำไปด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ผู้ที่พูดว่ากลัวตาลีบันล้วนพูดเกินจริง เพราะหวังย้ายไปพำนักในประเทศตะวันตก ขอย้ำว่าเหตุนองเลือดในอัฟกานิสถานเป็นอดีตไปแล้ว ขณะนี้ตาลีบันต้องการมุ่งหน้าสู่อนาคตเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย

นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ ให้คำมั่นในวันนี้ต่อการมีส่วนร่วมที่ยั่งยืนในทวีปเอเชีย ในระหว่างการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มจากสิงคโปร์เป็นที่แรก