กทม. 11 ส.ค.- สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง หนุน แบงก์รัฐ ดูแลลูกค้าช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) เปิดเผยว่า จากการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 0.25% ต่อปี จาก 0.50% ต่อปี เป็น 0.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ล่าสุด นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เล็งเห็นว่าในภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับสถาบันการเงินอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ดูแลลูกค้า
ทั้งในส่วนลูกค้ารายย่อย ภาคธุรกิจ รวมถึงผู้ส่งออก ให้ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวให้น้อยที่สุด โดยสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และสถาบันการเงินสมาชิก พร้อมดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับลูกค้าอย่างเต็มที่ โดยมีรายละเอียดแนวทางการดูแลของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ดังต่อไปนี้
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าในระดับปัจจุบันต่อไปจนถึงสิ้นปี 2565 และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามความเหมาะสมกับสภาวะตลาดเพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับธนาคารในการนำเงินไปปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนที่ต้องการมีบ้านได้ต่อไป
ธนาคารออมสิน จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน/6 เดือน ปรับขึ้น 0.15% เงินฝากประจำ 12 เดือน ปรับขึ้น 0.20% และเงินฝากประจำ 24 เดือน/36 เดือน ปรับขึ้น 0.30% เพื่อช่วยส่งเสริมการออม และให้ประชาชนได้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่กำลังเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR, MOR และ MRR) ไว้ให้นานที่สุด เพื่อชะลอผลกระทบต่อลูกค้ารายย่อย ผู้ประกอบการ SME และกลุ่มเปราะบาง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อภาคการเกษตร และกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกร สถาบันการเกษตร ผู้ประกอบการ และชุมชน โดยการดูแลภาระหนี้สิน เพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ การจัดทำคลินิกหมอหนี้ เพื่อลดหนี้ครัวเรือน รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้ ทั้งหนี้ในและนอกระบบ การเติมสินเชื่อใหม่ ภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุน และการพัฒนาศักยภาพในการปรับเปลี่ยนการผลิตไปปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง การลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นสนับสนุนแนวทางการประกอบอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และชุมชน
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ให้นานที่สุด ในอัตรา Prime Rate 5.75% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ เพื่อแบ่งเบาภาระลูกค้าและผู้ประกอบการไทย รวมทั้งพัฒนาโปรโมชั่นพิเศษสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า Prime Rate อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้อยู่รอดและขยายธุรกิจในตลาดการค้าโลกได้ท่ามกลางปัจจัยท้าทายที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางธุรกิจของผู้ประกอบการในปีนี้
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยก่อนหน้านี้ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ลูกค้าได้รับผลกระทบไม่มาก ขณะเดียวกันยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่ เสริมสภาพคล่องและบริหารจัดต้นทุนทางการเงิน เช่น “สินเชื่อ 3D” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.5% ต่อปี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ และ “สินเชื่อธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (BCG Loan) อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.99% ต่อปี เป็นต้น เพื่อช่วยประคับประคองให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและเดินหน้าธุรกิจได้ต่อเนื่อง
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) จะคงอัตรากำไรสินเชื่อให้นานที่สุดถึงสิ้นปี เพื่อมิให้เกิดผลกระทบกับลูกค้า สำหรับผลตอบแทนเงินฝาก จะจัดสรรตามส่วนแบ่งกำไรตามเงื่อนไข โดยธนาคารจะพิจารณาผลตอบแทนในตลาดที่เปลี่ยนแปลงมาประกอบในการพิจารณา ทั้งนี้ ธนาคารยังคงมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อย่างเต็มที่ ในฐานะผู้ค้ำประกันสินเชื่อ โดยยืน 3 มาตรการช่วยผู้ประกอบการ SMEs คือ 1.ลดต้นทุนฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อร่วมกับสถาบันการเงินในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างชาติ หรือ PGS 9 วงเงิน 150,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2-3 ปีแรก และระยะเวลาการค้ำประกันสินเชื่อนานถึง 10 ปี รวมถึง โครงการค้ำประกันสินเชื่อภายใต้ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู และ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Soft Loan Extra 2.ให้คำปรึกษาผู้ประกอบการ SMEs ฟรี ผ่าน บสย.F.A.Center และ 3. ปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อ ภายใต้มาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” ภายใต้แนวคิด “แก้หนี้ยั่งยืน” เพื่อรองรับการช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ เน้นความยืดหยุ่นและผ่อนเบา”
ทั้งนี้ ลูกค้าสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทุกแห่ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันการเงินของรัฐทุกสาขา และผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ อาทิ Call Center Line@ Facebook Website และ Mobile Application .-สำนักข่าวไทย