ทำเนียบฯ 30 มี.ค.-นายกฯ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต สำหรับกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุ” ย้ำรัฐบาลเตรียมความพร้อมดูแลกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กปฐมวัยให้เกิดผลสัมฤิทธิ์อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันชี้แจงกรณีเปิดสอบครูผู้ช่วย ไม่ได้ดูถูกครูที่มีอยู่เดิม แต่เป็นการปฏิรูปการศึกษา และขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันยืนยันเรื่องพลังงานจะไม่ให้ใครเข้ามาได้ประโยชน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต สำหรับกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุ” ระหว่างรัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงจาก 4 กระทรวง ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งการลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ เป็นการร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตในกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีแผนยุทธศาสตร์ประเทศด้านสาธารณสุขและยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 เพื่อรองรับการเป็นสังคมสูงอายุและความสมดุลของประชากรในวัยต่าง ๆ ที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ โดยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2564 ขณะที่กลุ่มวัยเด็กและวัยทำงานที่ต้องดูแลผู้สูงอายุมีแนวโน้มลดลง มีปัญหาเด็กเกิดน้อยด้อยคุณภาพ ส่งผลกระทบต่อประชากรวัยทำงาน ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต จึงต้องมีการตั้งเป้าหมาย “เด็กไทยเติบใหญ่มีคุณภาพ ผู้สูงวัยเป็นหลักชัยของสังคม มุ่งสู่ประเทศไทย 4.0” ในปี 2564
ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีลงนาม นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายว่า การลงนามวันนี้ เป็นสิ่งยืนยันเจตนารมณ์เพื่อให้การดำเนินการเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง และรัฐบาลสนับสนุนทุกกระทรวงให้นโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นและต่อเนื่อง สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งงานของทุกกระทรวงต้องกำหนดผลสัมฤทธิ์ไว้ล่วงหน้า เพื่อเดินไปสู่เป้าหมาย ขจัดอุปสรรคต่าง ๆ และวันนี้รัฐบาลพยายามเดินหน้าไปสู่การปฎิรูป แม้จะมีคนบางส่วนไม่เข้าใจการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งหมด แต่ก็ต้องมีความพยายามสร้างความเข้าใจ
“รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับสังคมผู้สูงอายุที่จะมีเพิ่มขึ้นมาก และในฐานะที่สังคมไทยต้องดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุด้วย โดยรัฐบาลต้องดูสวัสดิการทางสังคม ไม่ให้ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง เพราะลูกหลานต้องเข้ามาทำงานในเมือง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันหาแนวทางที่จะทำอย่างไรให้ครอบครัวได้ติดต่อกัน มีความใกล้ชิดครอบครัว เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีความสุข รัฐต้องหาแนวทางคืนคนให้กลับสู่ท้องถิ่น ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม กระจายรายได้อาชีพไปสู่ต่างจังหวัด ลดความแออัดในกรุงเทพฯ ขณะที่คนในวัยเกษียณ 60 ปีขึ้นไป หากยังสามารถทำงานได้ ก็ต้องหางานที่เหมาะสมให้ทำ เช่นเดียวกับการดูแลทุกช่วงวัยที่รัฐบาลดูแล ตั้งแต่การตั้งครรภ์ของมารดา การศึกษา ซึ่งผมอยากให้เด็กทุกคนเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีจรรยาบรรณ แบ่งปันผู้อื่น มีหลักคิดที่ถูกต้อง เพราะถ้าตัวเราเองดี ทุกคนดี สังคมดี ประเทศก็จะเดินหน้าไปได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการศึกษาว่า รัฐบาลต้องการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ ทุกคนต้องมองปัญหาของชาติ และทุกคนทุกฝ่ายในระบบการศึกษาต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะเรื่องครูนั้น ตนไม่ได้ดูถูกครู ไม่ใช่ว่าจบครุศาสตร์ 5 ปีนั้นไม่ดีหรือสอนไม่ได้ แต่ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เปิดสอบครูผู้ช่วยนั้น เพื่อเปิดทางให้มีครูในสาขาที่ไม่เพียงพอได้เข้ามา เนื่องจากคะแนนของเด็กไทยในบางวิชานั้นต่ำกว่าเกณฑ์ แต่หากเปิดให้สาขาวิชาอื่นเข้ามาแล้วสร้างความรู้สึกที่ไม่ดี ก็ต้องหาแนวทางแก้ไข ซึ่งอาจจะต้องประเมินผลครูผู้ช่วยทุก 6 เดือน และสอบครูให้ได้ภายใน 2 ปี ทั้งนี้ตนหวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะไม่ถูกถอดถอน เพราะขณะนี้เกิดผลกระทบกับตัวรัฐมนตรีค่อนข้างมาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องพลังงานว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานความไว้วางใจของกันและกัน และขอให้ทุกคนเชื่อใจในการดำเนินการของรัฐบาล และขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าจะไม่ให้ใครเข้ามามีผลประโยชน์ในเรื่องนี้
“อยากให้ทุกคนอยู่บนความไว้วางใจผม และผมขอเอาชีวิตของผมยืนยันว่าจะไม่ปล่อยปละให้ใครเข้ามาได้ประโยชน์ และยืนยันว่าทหารไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปมีบทบาทในด้านพลังงาน ยืนยันว่าไม่มีอยู่ในความคิด หรือหากว่าจะมีคนอื่นคิด ผมก็จะไม่อนุญาต จึงขอให้เชื่อมั่นผมในส่วนนี้ และขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการ ซึ่งข้อมูลหลายอย่างที่ออกไปนั้นเป็นเรื่องของการพูดคุยในวงประชุมที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ซึ่งหากไม่เข้าใจกันก็จะทำให้เกิดความสับสนได้ และวันนี้ต้องนำความคิดเห็นของประชาชนเข้ามาพิจารณา ยืนยันว่าอะไรที่ไม่สามารถทำได้ ก็จะไม่ทำ เรื่องใดที่ไม่ถูกต้อง หรือส่อที่จะเสียผลประโยชน์ ก็จะไม่ให้ทำ ขอให้เชื่อมั่น และฝากผู้ว่าราชการและหัวหน้าส่วนทุกส่วนราชการ ช่วยทำความเข้าใจให้กับรัฐบาลด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลมีความตั้งใจทำงาน ส่วนราชการทุกส่วนก็เช่นเดียวกันที่ต้องทุ่มเททำงานและอธิบายต่อได้ ต้องสร้างความเข้าใจว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง
“หากเราไม่เริ่มต้นทำในวันนี้ และถ้าหากยังคงขัดแย้งกันอยู่เช่นเดิม จะไม่มีอนาคตสำหรับประเทศไทย และไม่มีโอกาสทำอะไรอีกแล้วที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ผมไม่ได้ดูถูกใคร แต่คิดว่าหากสิ่งที่ทำวันนี้ ไม่ได้รับการสานต่อ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและกลับมาเช่นเดิม เราก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย สื่อมวลชนได้รอสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีบริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรี พูดว่า จะถามเรื่องอะไร ปิโตรเลียมหรือ จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ยื่นเอกสารชี้แจงกรณีร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียมและร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมให้กับสื่อมวลชน พร้อมระบุว่า “เอาไป ผมเตรียมไว้ให้แล้ว ผมเขียนเองเมื่อเช้า และก็ลงตามนี้ด้วย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกลุ่มคัดค้านมายังบริเวณหน้ารัฐสภา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากทำผิดกฏหมาย ก็ต้องถูกดำเนินคดี ให้รู้บ้างว่าการแก้ไขปัญหาตามระบบดำเนินการอย่างไร ไม่ใช่ใช้กฎหมู่อยู่ตลอด.-สำนักข่าวไทย