กรุงเทพฯ 7 มิ.ย.-สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ประเมินการส่งออกตลอดปี 2565 คาดว่ายังขยายตัวได้ร้อยละ 5-8 แม้เจอหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งราคาพลังงาน เงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์ระวางเรือยังตึงตัว ส่วนไตรมาส 2 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3-5
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) แถลงคาดการณ์การส่งออกไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ว่า เติบโตร้อยละ 3-5 โดยปี 2565 ทั้งปี คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 5-8 (ณ เดือนมิถุนายน 2565) อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2565 ได้แก่ ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง จากสถานการณ์ระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้า และต้นทุนการขนส่งปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาพลังงานในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อโลกที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 9.2 ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพเพิ่มขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคทั่วโลกหดตัวลง สถานการณ์ระวางเรือยังคงตึงตัวในหลายเส้นทาง และค่าระวางขนส่งสินค้าทางทะเลยังทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากเรือแม่ยังไม่สามารถเข้าเทียบท่าในไทยได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และแม้ค่าระวางเริ่มปรับลดลงในหลายเส้นทาง แต่ค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ยังปรับขึ้นและผันผวนตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ เหล็ก ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน แป้งสาลี อาหารสัตว์ ปุ๋ย ส่งผลให้หลายประเทศเริ่มออกมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร
ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ประกอบด้วย 1. ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินกว่า 33-34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อไม่เป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับต้นทุนในส่วนอื่นที่ผันผวนสูง และขอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.5 เพื่อประคองให้การฟื้นตัวภาคธุรกิจยังดำเนินการได้ 2. รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ผ่านเครื่องมือด้านการลดภาษีสรรพาสามิตและเงินกองทุนน้ำมันฯ หรือกลไกในการควบคุมต้นทุนการนำเข้าไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคมากจนเกินไป และ 3. การควบคุมราคาสินค้าในประเทศจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับต้นทุนผู้ประกอบการ เพื่อมิให้เป็นภาระต้นทุนของผู้ประกอบการมากเกินไป ขอให้พิจารณาลดต้นทุนสินค้าขาเข้า ลดเงื่อนไขและขั้นตอนในกลุ่มสินค้าที่ขาดแคลนและจำเป็น
สำหรับภาพรวมการค้าระหว่างประเทศเดือนมกราคม-เมษายน 2565 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 97,122.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.7 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 3,183,591 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.3 (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่า การส่งออกในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ขยายตัวร้อยละ 8.2 ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 99,975.1ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 19.2 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 3,322,907 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 30.3 ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม-เมษายน 2565 ขาดดุล 2,852.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 139,316 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย