กรุงเทพฯ 5 เม.ย.- นักวิเคราะห์ลดเป้า GDP ปีนี้ คาดโต 3.09% จากเดิมสมมติฐานที่ 3.71% เหตุน้ำมันแพง ผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังประเมิน Fund Flow ไหลเข้า และคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 2/65 เป็น Sideways
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 27 บริษัท เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2-4 ของปี 2565 โดยสมมติฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2565 ทุกสำนักมองเป็นบวก ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.09% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ม.ค.65) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.71% ซึ่งมีผู้ตอบที่ให้ตัวเลขต่ำสุดคือ 2.00% ปัจจัยกระทบ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลกระทบประมาณการราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปี 65 สูงขึ้นจากคาดการณ์เดิมเมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 69.90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล มาเป็น 94.03 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จึงต้องลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้ลง
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนในปี 65 ยังได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ เงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเติบโต, ปัจจัยด้านลบ ยังคงมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจโลก และการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก
ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 65% มองว่าจะคงที่ตลอดปีนี้ รองลงมาคือ มองว่าจะปรับขึ้น 0.25% ในปีนี้ โดยมีผู้โหวต 27% และสุดท้ายคือ ที่มองว่าจะปรับขึ้น 0.50% ในปีนี้ มีผู้โหวต 7%
ส่วนทางด้านคาดการณ์ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 65 เฉลี่ยที่ 89.11 บาท/หุ้น เติบโต 9.33% จากปี 64 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.59 บาท/หุ้น เล็กน้อย
ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 2/65 มีผู้โหวต 44% คาดว่าจะเป็น Sideways และมีผู้โหวต 41% มองว่า Index จะมีทิศทางลบ ส่วนที่เหลือ 15% มองเป็นทิศทางบวก ส่วนคาดการณ์ SET Index ณ สิ้นไตรมาสอยู่ที่ 1,688 จุด
ส่วนมุมมองจากไตรมาสที่ 2 ไปถึงสิ้นปี คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,567-1,774 จุด และปิดสิ้นปี 65 ที่ 1,747 จุด
นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
– เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 13.85%
– กองทุนตราสารหนี้ 13.15%
– หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.46%
– หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 27.29%
– กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 8.66%
– ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.41%
– อื่นๆ 0.18%
สำหรับการลงทุนในหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว และสื่อสาร ขณะเดียวกัน แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงาน และสาธารณูปโภค รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีหุ้นเด่นแนะนำตรงกันมาก คือ BDMS, KBANK และ MAKRO
นักวิเคราะห์ฯ ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีนโยบายช่วยเหลือประชาชน โดยดูแลค่าใช้จ่ายผู้มีรายได้น้อย รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านช่วยเหลือภาคธุรกิจนั้น ได้แก่ เร่งแผนเปิดประเทศ ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่โดนผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น.-สำนักข่าวไทย