ตลาดหลักทรัพย์ 2 ต.ค.- สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน(IAA) คาด Fund Flows จากต่างประเทศ กองทุนวายุภักษ์ และมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท หนุน SET Index สิ้นปีบวกได้ถึง 1,494 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน(IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 4 ปี 2567 ภายใต้ สมมติฐานหลัก
- ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 79.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
- คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 จากเดิมที่ 2.64% (ก.ค.67) ลดลงมาเหลือ 2.62%
- สมมติฐาน GDP ปี 68 คาดว่าต่ำสุดที่ 2.4% และสูงสุดที่ 3.5% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.01%
- Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.65%
- Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.76%
พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567 แบ่งเป็น
- ปัจจัยบวก นำโดย Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย และกองทุนวายุภักษ์ ปัจจัยรองลงมา คือ มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยผลประกอบการของ บจ.ปี67 และภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ
- ส่วนปัจจัยลบ คือ ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก
ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2.25%
ส่วนคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในสิ้นปี 2568 ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 2%
ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยได้ที่ 89.91 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 91.4 บาท ต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.18% ทั้งยังคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดเฉลี่ยไว้ที่ 98.65 บาท
เป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2567 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,494 จุด และคาดการณ์ SET Index ตลอดปี 2568 จะแกว่งตัวในกรอบ 1365 ถึง 1634 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2568 ที่ 1,614 จุด
นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
- หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 32.22%
- หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.65%
- กองทุนตราสารหนี้ 20.30%
- กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 9.04%
- ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.35%
- เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 6.43%
โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี-AI และ Healthcare Selective Asia เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจค้าปลีก Finance การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดเกษตร ยานยนต์ พลังงานและปิโตรเคมี
ส่วนหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
- AOT ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นใน 2 เดือนสุดท้ายของปี
- BDMS ได้ประโยชน์จากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นและสังคมสูงวัยที่ใหญ่ขึ้น
- CPALL ได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัวและได้อานิสงส์จากโครงการดิจิตอล Wallet เศรษฐกิจและการบริโภคฟื้นตัวจากเงินหมื่น
- GPSC โดยมองว่าได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ที่จะดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน หุ้นกลุ่มธนาคาร และส่งออกที่อาจย่อตัว หลังขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า
พร้อมเสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อยอด Tourism Province & Connects รวมทั้งการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ สนับสนุนโครงการลงทุนใหม่ๆ เช่น Entertainment Complex รวมทั้งออกมาตรการ soft loan และ refinance ให้ SMEs และตามมาด้านการช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย / ครัวเรือน มาตรการลดภาษี และสนับสนุนค่าเล่าเรียนเพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่มีลูกเพิ่ม .-517-สำนักข่าวไทย