กรุงเทพฯ 9 มี.ค. – กรมปศุสัตว์ร่วมกับผู้ผลิตอาหารสัตว์หารือเพื่อกำหนดแนวทางรับสถานการณ์ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้น รวมถึงการขาดแคลนธัญพืชวัตถุดิบเนื่องจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมด้วยนายโสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ผู้แทนกรมประมง ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยและสมาคมส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ ได้ประชุมผ่านระบบออนไลน์ เพื่อหารือถึงผลกระทบและแนวทางแก้ไขเพื่อบริหารจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น
สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยแจ้งว่า โรงงานอาหารสัตว์ได้รับผลกระทบด้านต้นทุนจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน คิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 25-30% ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ประกอบด้วยกัน 2 ส่วนได้แก่
1.สถานการณ์ราคาวัตถุดิบในตลาดโลก รวมถึงค่าบริหารจัดการและการขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
2.นโยบายภาครัฐที่ต้องการดูแลราคาพืชอาหารสัตว์ในประเทศ เช่น มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลีโดยจะต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ 3 ส่วนก่อนนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน การจำกัดช่วงเวลานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมาตรการด้านภาษีเช่น ภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2%
ที่ผ่านมาประเทศสหรัฐอเมริกาและอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตถั่วเหลืองที่สำคัญของโลกประสบภาวะภัยแล้งส่งผลให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันมีความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนซึ่งทั้ง2 ประเทศเป็นแหล่งส่งออกวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำคัญต่อประเทศไทยรวมถึงทั่วโลก โดยเฉพาะข้าวสาลีสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทำให้การส่งออกวัตถุดิบอาหารสัตว์หยุดชะงักไป เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบอาหารสัตว์และทำให้มีราคาสูงขึ้น
อธิบดีกรมปศุสัตว์แสดงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงทางอาหารซึ่งอาจมีผลมาจากภาวะสถานการณ์ COVID-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลกและภาวะความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆ รวมถึงสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (Climate change) จึงจำเป็นต้องมีแนวทางที่รองรับสถานการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะวัตถุดิบอาหารสัตว์ซึ่งนำมาใช้เป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตภาคปศุสัตว์ ดังนั้นต้องมีมาตรการในการหาแหล่งวัตถุดิบทดแทนซึ่งมีแหล่งที่มาจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ในที่ประชุมมีข้อสรุปถึงแนวทางมีในการแก้ปัญหา ดังนี้
1. ระยะสั้น
– ยกเลิกมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3:1 ส่วน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการนำเข้าข้าวสาลีได้โดยเสรี จากหลายแหล่งทั่วโลก ส่งผลให้ราคาการซื้อขายเป็นไปตามกลไกตลาดโลก
– ยกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตเนื่องจากกากถั่วเหลืองเป็นแหล่งโปรตีนที่ใช้เป็นวัตถุดิบสัตว์ในการผลิตอาหารสัตว์
– เปิดให้นำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO AFTA ยกเลิกโควต้า ภาษี และค่าธรรมเนียมในปริมาณที่ขาดแคลนในปี 2565 เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบทำให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างเพียงพอตลอดปี และลดต้นทุนในการผลิตอาหารสัตว์
2. ระยะยาว
– ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดภายในประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะการปลูกภายหลังการเก็บเกี่ยวข้าว (ข้าวโพดหลังนา)
– พัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ ตลอดจนเทคโนโลยีการผลิตพืชอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพดให้สามารถมีผลผลิตต่อไร่เพิ่มสูงขึ้น
– การส่งเสริมการปลูกและใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดพร้อม (Green Deal)
นอกจากนี้เกษตรกรยังสามารถใช้สูตรอาหารสัตว์ที่กรมปศุสัตว์ได้พัฒนาไว้ โดยใช้วัตถุดิบทางเลือกซึ่งสามารถหามาทดแทนได้.-สำนักข่าวไทย