ทำเนียบฯ 22 ก.พ.- ครม.เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซ CO2 รถกระบะไฟฟ้า ยกเว้นภาษีศุลกากรพร้อมยกเว้นภาษีชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ไฟฟ้า 9 ชนิด กำชับรถยนต์ไฟฟ้าต้องมีระบบความปลอดภัยพื้นฐาน 6 ด้าน รองรับกระแสความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เห็นชอบมาตรการภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งเสริมนโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 หวังให้ ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียน
สำหรับร่างประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อส่งเสริมการผลิตหรือประกอบรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. การยกเว้นภาษีอากรของศุลกากร 9 ชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ แบตเตอรี่ Traction Motor, คอมเพรสเซอร์แอร์, ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS), ระบบควบคุมการขับเคลื่อน, มอเตอร์ ,ระบบกระแสไฟสลับ DCDC, ระบบเกียร์ 2. การผลิตหรือประกอบยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในเขตปลอดอากร ให้นับมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศเป็นต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศ สำหรับการคำนวณมูลค่าเพิ่มในประเทศ ไม่เกินร้อยละ 15 ของราคายานยนต์ไฟฟ้า (BEV)
สำหรับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ มีดังนี้
- การปรับลดเกณฑ์การปล่อย CO2 เพื่อส่งเสริมให้รถยนต์นั่ง รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน รถยนต์กระบะ และรถจักรยานยนต์ ให้ลดการปล่อย CO2 และประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น เช่น รถฟอร์จูนเนอร์ ราคา 1.7 ล้านบาท ภาษีร้อยละ 29 หากยังผลิตให้ปล่อยก๊าซ CO2 เหมือนเดิม ภาษีจะเพิ่มเป็นร้อยล 31 หรือเพิ่มร้อยละ 2 ในอีก 2 ปีข้างหน้า ทำให้ราคาเพิ่ม 34,000 บาท
- การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประเภท HEV (รถยนต์ไฮบริด) และ PHEV (รถยนต์ไฮบริดเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้า) ให้มีความแตกต่างกันมากขึ้น รองรับการพัฒนาไปสู่รถยนต์ BEV (รถยนต์แบบเตอร์ไฟฟ้า) รวมถึงสมรรถนะของเทคโนโลยี PHEV ในเรื่องระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range : ER) สามารถวิ่งได้ไม่น้อยกว่า 80 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และขนาดถังบรรจุน้ำมัน (Oil Tank) เพื่อลดการใช้พลังงานจากน้ำมัน
- การทยอยปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประเภท ICE (รถยนต์น้ำมัน) HEV (รถยนต์ไฮบริด) และ PHEV (รถยนต์ไฮบริดเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้า) โดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได 3 ช่วง ได้แก่ ปี 2569, 2571, และ 2573 ตามลำดับ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พัฒนาเทคโนโลยีด้วยพลังงานไฟฟ้า HEV ภาษีปัจจุบันร้อยละ 4 เพิ่มเป็นร้อยละ 6 ในปี 69 เพิ่มเป็นร้อยละ 8 ในปี 71 เพิ่มเป็นร้อยละ 10 ในปี 71 เพราะยังใช้น้ำมันปล่อย CO2 ส่วนรถยนต์ PHEV ภาษีร้อยละ 4 ปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 5 ในปี 69 เพราะหากยังผลิตรถใช้น้ำมัน ภาษีสรรพสามิตจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนรถไฟฟ้า (BEV) ภาษีลดจากอัตราร้อยละ 8 เหลืออัตราร้อยละ 2 ตามมติคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ
- การส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์กระบะ และอนุพันธ์ของรถยนต์กระบะ (Product Champion) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตต่อไป โดยคำนึงถึงการลดการปล่อย CO2 และสนับสนุนพลังงานเชื้อเพลิงทดแทน Biodiesel และยังส่งเสริมให้เกิดการใช้และผลิตรถยนต์กระบะไฟฟ้า (BEV) ในประเทศโดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 0 เป็นการชั่วคราวจนถึงปี 2568
- รัฐบาลยังสนับสนุนมาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยให้ติดตั้งระบบ Advanced Driver – Assistance Systems (ADAS) รถยนต์ รถยนต์โดยสารนั่งไม่เกิน 10 คน ต้อง ติดตั้งระบบ ADAS อย่างน้อย 2 ระบบจาก 6 ระบบ ยกเว้นรถไฟฟ้า (BEV) ต้องมีอย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ และรถยนต์กระบะ ต้องติดตั้งระบบ ADAS อย่างน้อย 1 ระบบจาก 6 ระบบ ยกเว้น BEV ต้องมีอย่างน้อย 2 จาก 6 ระบบ
สำหรับระบบปลอดภัย 6 ด้าน ประกอบด้วย 1.ระบบเบรกฉุกเฉิน 2. ระบบเตือนภัยชนท้าย 3. ระบบไซเลน 4.ระบบแซงเปลี่ยนเลน 5.ระบบป้องกันจุดบอด 6. ระบบควมคุมความเร็ว
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตได้มีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถจักรยานยนต์ เพื่อส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มากขึ้น โดยทยอยปรับอัตราภาษี แบบขั้นบันได 2 ช่วง ได้แก่ ปี 2569 และปี 2573 ตามลำดับ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า คิดภาษีสรรพสามิตร้อยละ 1 โดยต้องใช้แบตเตอรี่ประเภทลิเธียมไอออน แรงดันไฟฟ้าตั้งแต่ 48 โวลต์ขึ้นไป ขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป หรือวิ่งได้ระยะทางตั้งแต่ 75 กิโลเมตรขึ้นไปต่อการอัดประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง โดยผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน WMTC ต้องใช้ล้อยางมาตรฐานสูบลมสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปด มาตรฐานเลขที่ มอก. 2720-2560 หรือที่สูงกว่า หรือ UN Regulation No.75 หรือที่สูงกว่า
สำหรับมาตรการสนับสนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และมอเตอร์ไซค์ดังนี้ 1. เสนอร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่สำเร็จรูป (Completely Buildup :CBU) ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อลดอัตราอากรหรือยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถยนต์ประเภท Battery Electric Vehicle (BEV) สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU)
1.1 ราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท
(1) การนำเข้าทั่วไปลดอัตราอากรจากเดิมร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 40
(2) ใช้สิทธิ FTA หากอัตราอากรไม่เกิน 40% ให้ได้รับการยกเว้นอากร
(3) ใช้สิทธิ FTA หากอัตราอากรเกิน 40% ให้ลดอัตราอากรอีก 40%
1.2 ราคาขายปลีกแนะนำมากกว่า 2 – 7 ล้านบาท
(1) การนำเข้าทั่วไปลดอัตราอากรจากเดิมร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 60
(2) ใช้สิทธิ FTA หากอัตราอากรไม่เกิน 20% ให้ได้รับการยกเว้นอากร
(3) ใช้สิทธิ FTA หากอัตราอากรเกิน 20% ให้ลดอัตราอากรอีก 20%
รัฐมนตรีคลัง กล่าวย้ำว่า การตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของประชาชน ต้องคำนึงถึงสถานีชาร์จแบตรถยนต์ไฟ้ฟา อายุการใช้งานแบตเตอรรี่ เพราะขณะนี้ราคา 1 แสนบาทต่อลูก จะมีสภาพเสื่อมตามเวลาอายุการใช้งานประมาณ 10 ปี ขณะนี้ค่ายรถยนต์มุ่งใช้แบตจากลิเทียมไอออน การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า เมื่อใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ยอมรับแบตเตอรรี่จะมีน้ำหนักมาก เมื่อเทียบกับน้ำหนักรถยนต์ นับเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า คาดว่ากฎกระทรวงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ประกาศในราชกิจานุเบกษา และบังคับใช้ในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยนายสุพัฒน์พงศ์ เตรียมหารือกับค่ายรถยนต์ เกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมากรใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม .-สำนักข่าวไทย