กรุงเทพฯ 8 พ.ย.-ปตท.สผ. คาดยอดขายปิโตรเลียมปี 65-66 โต 6-7% พร้อมผลักดันธุรกิจใหม่ สร้างกำไรสัดส่วน 20% ในปี 2573 คาดปิดดีลใหม่ๆ ได้ภายในไตรมาส 1/65
ในงานเปิด “วิสัยทัศน์และทิศทางการเติบโตอย่างยั่งยืนของ ปตท.สผ.” นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ในงานดำเนินงานปี 2565-2566 ปตท.สผ. คาดยอดขายปิโตรเลียมจะ เติบโตขึ้น 6-7% จากปี 2564 ที่มีปริมาณขาย อยู่ที่ 417,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งเป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะการรับรู้กำลังการผลิตเต็มปีจากโครงการโอมาน แปลง 61 และโครงการมาเลเซีย – แปลงเอช รวมถึง การโครงการบงกช ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมาชดเชยกำลังการผลิตจากแหล่งเอราวัณ ที่เกิดปัญหาที่ ปตท.สผ.เข้าพื้นที่ล่าช้า จากเผนเปลี่ยนผ่านระบบสัญญาสัมปทานไปสู่ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ในแหล่งเอาราวัณ
อย่างไรก็ตาม ปตท.สผ. ก็ยังได้กำลังการผลิตจากโครงการเอราวัณเข้ามาเพิ่ม แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดว่า จะได้เพิ่มเป็น 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากที่เข้าพื้นที่ได้ 24 เม.ย.2565
ส่วนโครงการแปลง G2/61 (แหล่งบงกช) ยังเป็นไปตามแผนการเปลี่ยนผ่านหลังสิ้นสุดสัญยาสัมปทานปี 2566 และ ปตท.สผ. จะเร่งกำลังการผลิตก๊าซฯในอ่าวไทย ขึ้นมาเพิ่มเติม เพื่อทดแทนแหล่งเอราวัณที่ล่าช้ากว่าแผน โดยแหล่งบงกช ตามเงื่อนไขสัญญา PSC กำหนดให้ต้องมีกำลังการผลิตก๊าซฯไม่ต่ำกว่า 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ก็จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 125-150 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนแหล่งอาทิตย์ ปัจจุบัน มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 220 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จะเพิ่มเป็น 280 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในต้นปีหน้า และอีก 2 ปีเพิ่มเป็น 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และหากก๊าซอ่าวไทยไม่เพียงพอทาง บมจ.ปตท.ก็เตรียมพร้อมในการนำเข้าแอลเอ็นจี มาเพิ่มเติม
“ช่วงที่เหลือของปีนี้ จนถึงไตรมาส1 /65 ยังมีโอกาสที่จะได้ดีลใหม่ๆเข้ามา ซึ่งก็อยู่ในกลุ่มประเทศเป้าหมาย 5 พื้นที่ ที่ยังคงโฟกัส โครงการในประเทศไทย เมียนมา มาเลเซีย โอมาน และยูเออี เป็นหลัก คาดว่า ส่วนงบลงทุน บริษัท อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการลงทุน 5ปี (2565-2569) คาดว่าจะประกาศความชัดเจนได้ในช่วงปลายเดือนพ.ย.นี้”นายมนตรี กล่าว
ส่วนทิศทางราคาน้ำมันในปีหน้า นายมนตรี มองว่า การขยับเพิ่มกำลังการผลิตของโอเปกยังส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เชื่อว่า โอเปกจะพยายามทำให้ราคาน้ำมันดิบเข้าสู่สมดุล หรือมีระดับที่เหมาะสมอยู่ที่ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาจะเข้าสู่สมดุลได้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) ตลาดจร(Spot) ปัจจุบันราคาสูงขึ้นมาก แต่ก็เริ่มมีกำลังการผลิตจากรัสเซียเข้ามา รวมถึง สหรัฐ และออสเตรเลีย ที่เริ่มกลับมาทำการผลิต จะทำให้ราคา LNG อยู่ที่ระดับ 7-10 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ก่อนที่ราคาก๊าซฯจะเข้าสู่สมดุลใน 2-3ปีข้างหน้า
ส่วนราคาขายเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติ ของ ปตท.สผ. ในปีหน้า คาดว่า จะใกล้เคียงกับปีนี้ ที่ประมาณ 5.7- 6.0 ดอลลาร์สหรัฐ (สรอ. ) ต่อล้านบีทียู และตั้งเป้ารักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยที่ประมาณ 28-29 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ประมาณ 70-75% ของรายได้จากการขาย
นายมนตรี กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ความท้าทายในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ปตท.สผ. ได้วางแนวทางการดำเนินธุรกิจ โดยเน้น 3 เรื่องหลัก ดังนี้
- สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมซึ่งเป็นธุรกิจหลัก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ ปตท.สผ. มีความชำนาญ ได้แก่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง โดยจะเพิ่มสัดส่วนก๊าซธรรมชาติเป็น 80% และน้ำมัน 20% ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านเทคโนโลยีการดักจับ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Storage หรือ CCS)
- ลงทุนในธุรกิจใหม่ (Beyond E&P) 3 ด้าน ได้แก่ธุรกิจด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ โดยลงทุนผ่านบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (AI and Robotics Ventures Company Limited) ซึ่งในปีหน้า จะวางแผนเติบโตมากขึ้น จากการหาพันธมิตรร่วมลงทุนต่อยอดใน 4 หน่วยธุรกิจหลัก ได้แก่
1.ROVULA ซึ่งเป็นหุ่นยนต์สำรวจ ตรวจสอบ และซ่อมแซมอุปกรณ์ใต้ทะเล 2.VARUNA ซึ่งเป็นการใช้โดรน สำรวจพื้นที่และประมวลผลด้วยปัญญาประดิษ์สำหรับการเกษตรอัจฉริยะและการจัดการป่าไม้แบบยั่งยืน 3.SKYLLER หรือการใช้โดรนตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และ 4.CARIVA เครือข่ายด้านสุขภาพ พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง(IoT) และวิทยาการหุ่นยนต์, ธุรกิจไฟฟ้าที่ต่อยอดจากก๊าซธรรมชาติ เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Gas to Power) พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) จะมองหาโอกาสการลงทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ โดยล่าสุดได้จัดตั้งบริษัท ฟิวเจอร์เทค เอนเนอร์ยี่ เวนเจอร์ส จำกัด (FutureTech Energy Ventures Company Limited) และบริษัท ฟิวเจอร์เทค โซลาร์ (ประเทศไทย) จำกัด (FutureTech Solar (Thailand) Company Limited) จำกัด เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต
- ลงทุนในธุรกิจที่รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ซึ่งมุ่งสู่พลังงานสะอาด และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมองโอกาสการลงทุน ด้านเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และ การกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage หรือ CCUS) ซึ่งเรื่องนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ ปตท.สผ.บรรลุเป้าหมายลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ 25% ในปี 2573 จากปีนี้ ลดได้ 17% และ พลังงานรูปแบบใหม่ในอนาคต (Future Energy) เช่น พลังงานไฮโดรเจน
“สำหรับเป้าหมายของของธุรกิจใหม่ ปตท.สผ. ตั้งเป้าหมายจะมีกำไรในสัดส่วน 20% ของกำไรของ ปตท.สผ.ภายในปี 2573 ซึ่งจะตอบรับกับทิศทางโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และพลังงานมีความมั่นคง”นายมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย